วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562

วิเคราะห์เรื่องสั้น "ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย" ของ วิทยากร เชียงกูล

วิเคราะห์เรื่องสั้น "ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย"
ของ วิทยากร  เชียงกูล


1. วิทยากร  เชียงกูล กับยุคแห่งการแสวงหา
หลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ในปี พ.ศ.2501  ถือเป็นยุคมืดทางพุทธิปัญญา  โดยเฉพาะในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์เรืองอำนาจ (2501-2506)  มีการปราบปรามผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรงด้วยข้อหา  มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  นักคิดนักเขียนก้าวหน้าในช่วงทศวรรษ 2590 จำนวนมากถูกจับ  มีบางคนลี้ภัยไปต่างประเทศ และบางคนถูกสังหาร  ดังนั้นหลังการรัฐประหาร 2501 จึงถือเป็นยุคมืดอย่างแท้จริง  นักเขียนก้าวหน้าจำนวนมากหยุดงานเขียนของตน  บางคนจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวในการเขียน   งานเขียนที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้มักเป็นประเภทแม่ผัวลูกสะใภ้  หรือประเภทบู๊ล้างผลาญ  ด้านร้อยกรองก็จะเป็นประเภท “กลอนหวาน-กลอนรัก” เป็นหลัก  งานเขียนประเภทเรื่องสั้นก็มักเป็นเรื่องประเภทหักมุมจบ  ที่เน้นกลวิธีการแต่งที่สร้างความเร้าใจให้กับผู้อ่านมากกว่าเนื้อหาหรือความคิด
        หลัง พ.ศ.2506 อันเป็นปีที่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ถึงแก่อสัญกรรม  จอมพลถนอมขึ้นสืบอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา สภาพทางการเมืองก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก  เพียงแต่การเปิดโปงการทุจริตของจอมสฤษดิ์อาจไม่มีผลต่อฐานะทางการเมืองของจอมพลถนอมมากนักจึงไม่มีการขัดขวาง  ทำให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของระบบเผด็จการมากขึ้น  ขณะเดียวกันจอมพลถนอมก็เริ่มตระหนักถึงฐานะของตนเองหากไม่มีการผ่อนปรนบ้าง ดังนั้นถึงเปิดโอกาสให้สื่อมวลชน(โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์)ได้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองได้มากขึ้น การออกนิตยสารรายเดือน “สังคมศาสตร์ปริทัศน์” ฉบับแรกในเดือนมิถุนายน 2506  โดยมีสุลักษณ์  ศิวรักษ์ เป็นบรรณาธิการ  อาจถือได้ว่าเป็นการจุดประกายของยุคแห่งการแสวงหาได้อย่างชัดเจน เป็นการจุดประกายในกับหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยได้ตั้งคำถามกับตนเองทั้งทางด้านการศึกษาและบทบาทหน้าที่ในสังคม  แต่จะอย่างไรก็ตามการเมืองก็ยังมิได้เปิดกว้างให้ประชาชนได้มีอิสระในการแสวงความคิดเห็นอย่างเต็มที่นัก  การปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วยกันฝ่ายรัฐบาลยังคงมีอยู่  การเขียนแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการเมืองในยุคนี้จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบที่ค่อนข้างซับซ้อน  มีการใช้สัญลักษณ์ในงานเขียนค่อนข้างมาก  ลักษณะโดยทั่วไปของวรรณกรรมในยุคนี้แบ่งเป็น 2 แนวค่อนข้างชัดเจน   แนวหนึ่งคือวรรณกรรมแนวทางรุ่งเรืองในยุคมืดซึ่งยังคงเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง ส่วนอีกแนวจะเป็นวรรณกรรมในกลุ่มที่เรียกรวมๆ ว่า“วรรณกรรมแสวงหา”ซึ่งเป็นผลงานของปัญญาชนในมหาวิทยาลัยและผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาไม่นานนัก (ส่วนหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเป็น กลุ่มพระจันทร์เสี้ยว) ผลงานวรรณกรรมที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่รวมเรื่องสั้นและบทกวี “ความเงียบ”  ของสุชาติ  สวัสดิศรี  งานเรื่องสั้นของนิคม  รายวา  ตั๊ก  วงศ์รัฐ  สุวัฒน์  ศรีเชื้อ  สุรชัย  จันทิมาธร   เรื่องสั้นและบทกวี “ฉันจึงมาหาความหมาย” ของวิทยากร  เชียงกูล  เป็นต้น
       ในราวปี พ.ศ.2515 เริ่มมีการก่อตั้งกลุ่ม “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองในมหาวิทยาลัย  กลุ่มนี้ได้เริ่มนำเอาผลงานเขียน งานวิจารณ์ ของนักคิดนักเขียนในช่วงทศวรรษ 2490 มาตีพิมพ์เผยแพร่ รวมทั้งได้ออกวารสาร “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” เพื่อเผยแพร่ความทางสังคมและวรรณกรรมแนวสัจสังคมนิยมด้วย ทำให้“วรรณกรรมเพื่อชีวิต”เป็นที่นิยมในหมู่ปัญญาชนมากขึ้นตามลำดับ
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ในยุคแสวงหานี้ ปัญญาชนนอกและ/หรือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยเริ่มรับเอาแนวคิดบางแนวคิดและรูปแบบวรรณกรรมใหม่ๆ จากตะวันตกเข้ามา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือแนวคิดปรัชญาเอ็กซิสตองเชียลลิสม์  และรูปแบบเรื่องสั้นและบทละครสมัยใหม่
“การแสวงหา” ในยุคนี้มีทั้งการแสวงหาทางด้านรูปแบบและเนื้อหา ดังจะพบว่า ในด้านกวีนิพนธ์นั้น มีการนำเอารูปแบบ“กลอนเปล่า”มาใช้อย่างแพร่หลาย (ในขณะที่“นักกลอน”จะเน้น“กลอนแปด” ตามแบบของสุนทรภู่เป็นหลัก) ทางด้านเรื่องสั้นก็ไม่ยึดตามแบบ “สูตรสำเร็จ” ประเภท “หักมุมจบ” เป็นหลัก แต่จะเน้นการบรรยายแบบ“กระแสสำนึก” นอกจากนั้นก็ยังเริ่มใช้รูปแบบ “บทละคร” ในการนำเสนอความคิดใหม่อีกด้วย ซึ่งบทละครเหล่านี้อาจมีทั้งที่เขียนขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงละครจริงๆ และเขียนเพื่อการอ่านเท่านั้น
        ในยุคแห่งการแสวงหานี้  ถือได้ว่าวิทยากร  เชียงกูล คือหนึ่งในปัญญาชนของยุคนั้นที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง วิทยากรจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ.2512  และเริ่มทำงานที่เกี่ยวข้องกับวงวรรณกรรมโดยการเป็นนักวิชาการ  นักเขียน และกองบรรณาธิการของนิตยสารในเครือของบริษัทไทยวัฒนาพานิช  วิทยากรเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์และเริ่มแสดงความรู้สึกไม่พอใจระบบการศึกษา  เริ่มแสวงหาสิ่งที่ตนเห็นว่าดีกว่าสำหรับชีวิตและสังคมในราวปีแรกที่เริ่มเข้าสู่ระบบมหาวิทยาลัย(พ.ศ.2508) โดยการเขียนบทกวีและเรื่องสั้นลงพิมพ์ในหนังสือของมหาวิทยาลัย บทกวี “เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน” ซึ่งตีพิมพ์ใน “ยูงทอง วันสถาปนา” ในปี 2511 ถือเป็นบทกวีที่ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวาง  ดังในตอนหนึ่งของกวีชิ้นนี้ที่ว่า
                           ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
                           ฉันจึงมาหาความหมาย
                           ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
                           สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
ที่ได้กลายเป็น “วรรคทอง” ที่ยังคงได้รับการจดจำ กล่าวขวัญถึงมาจนกระทั่งปัจจุบัน
วิทยาการอาจมีผลงานวรรณกรรมเพียงไม่กี่ชิ้น อันได้แก่ บทกวีและเรื่องสั้นชุด “ฉันจึงมาหาความหมาย” (ได้รับตีพิมพ์ซ้ำกว่า 10 ครั้ง) รวมเรื่องสั้น  “ฝันของเด็กชายชาวนา” และนวนิยาย “ฤดูใบไม้ผลิจักต้องมาถึง” นอกจากนี้ก็มีผลงานแปลวรรณกรรมต่างประเทศอีกหลายชิ้น เช่น บทกวีเพื่อผ็ถูกกดขี่  เธอคือชีวิต(นวนิยายของนักเขียนรัสเซีย), เรือนรก (นวนิยายนักเขียนญี่ปุ่น), กวีแห่งอาเซียน, แด่ความจนและความโง่เขลา (รวมเรื่องสั้นของนักเขียนจาก 6 ทวีป) และ น้ำพุแห่งความขมขื่น (นวนิยายของนักเขียนอิตาลี) เป็นต้น
        ผลงานส่วนใหญ่ของวิทยากรจะเป็นงานทางด้านบทความและหนังสือวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเมือง และบทความด้านวรรณกรรมซึ่งมีอยู่จำนวนมาก  และทำงานติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน
       ปัจจุบันวิทยากร เชียงกูล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และได้รับรางวัล “ศรีบูรพา” ซึ่งเป็นรางวัลที่ให้กับ “นักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ สารคดี เรื่องแปล และหรือกวีนิพนธ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง  ซึ่งมีผลงาน’ทรงคุณค่าแก่สังคมและมนุษยชาติ’ และมีผลงานยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ  ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน”  ในปี พ.ศ.2541.
        สำหรับหนังสือรวมเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และบทละคร ชุด “ฉันจึงมาหาความหมาย”  เป็นที่ยอมรับกับโดยทั่วไปว่า “เป็นเสมือนหนึ่ง ‘คัมภีร์’ แสวงหาของคนหนุ่มสาวผู้มีความคิดขบถ-ปฏิเสธระบบการศึกษาที่มุ่งสอนให้คน ‘เชื่อ’ มากกว่า ‘คิด’    เป็น “หนังสือที่ได้รับการคัดเลือก หนึ่งในหนังสือดีจำนวน 100 เล่ม ที่คนไทยควรจะได้อ่าน  โดยคณะวิจัยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.)”
       “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” เป็นงานเรื่องสั้นในชุด “ฉันจึงมาหาความหมาย” ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เด่นเรื่องหนึ่งที่สามารถเป็นตัวแทนของยุคสมัยแห่งการแสวงหา  เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเขียนเรื่องสั้นที่ให้ความสนใจต่อกลวิธีการเขียนแบบใหม่ที่มิใช่ประเภทหักมุมจบและพัฒนาเนื้อหาไปในทางแสดงความแปลกแยกกับสังคม   เป็นเรื่องสั้นที่แสดงถึงความคิด ปรัชญา ของผู้แต่งที่มุ่งแสวงหาสิ่งที่ตนคิดว่าดีงามสำหรับตนเองและสังคมในยุคที่เมืองไทยตกอยู่ภายใต้ระบบการปกครองแบบเผด็จการทหาร   อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นงานเขียนที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมและความคิดที่มีต่อสังคมของนักเขียนในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน
       เพื่อให้สามารถเข้าถึงความคิดในเรื่อง “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” ได้อย่างแจ่มชัด  จึงขอกล่าวถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ในรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของเรื่องสั้น ดังนี้

2.โครงเรื่อง
โครงเรื่อง (plot) ได้แก่การผูกเค้าโครงของพฤติกรรมหรือสร้างเหตุการณ์เพื่อเป็นแนวให้เนื่องเรื่องดำเนินตามโครงเรื่องนั้น เป็นการสร้างเรื่องอย่างคร่าวๆ ส่วนเนื้อเรื่องคือรายละเอียด   โครงเรื่องส่วนใหญ่มักประกอบด้วยองค์ประกอบสองส่วนคือ ความต้องการหรือความปรารถนาของตัวละครอย่างหนึ่ง  กับปัญหาหรืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ตัวละครบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่ง   ลักษณะของโครงเรื่องของเรื่องสั้นและนวนิยายโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะตามพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง  คือ  โครงเรื่องแบบเก่าและโครงเรื่องแบบใหม่
2.1 โครงเรื่องแบบเก่า  เป็นโครงเรื่องที่เน้นความสำคัญของเหตุการณ์และการลำดับเหตุการณ์โดยมีตัวละครเอกเป็นผู้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์และปมปัญหาที่เป็นข้อขัดแย้ง และพัฒนาไปสู่จุดวิกฤต (Climax) ซึ่งตัวละครจะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นเหตุการณ์ก็จะคลี่คลายไปสู่จุดจบ โครงเรื่องแบบเก่านี้มักประกอบด้วยสาระสำคัญ 4 ส่วน คือ
2.1.1 เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ
2.1.2 ตัวละคร คือผู้ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์  มีแรงจูงใจในการกระทำเพื่อต่อสู้ดิ้นรนในสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
              2.1.3 พฤติกรรมหรือการกระทำของตัวละครที่เกิดจากแรงจูงใจ
              2.1.4 อุปสรรคหรือข้อขัดแย้งที่เกิดจากสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ตัวละครต้องแก้ไขและต่อสู้  อุปสรรคดังกล่าว  ความขัดแย้งนี้อาจแบ่งเป็นความขัดแย้งภายในที่เกิดจากภายในจิตใจของตัวละคร  ความขัดแย้งภายนอกที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครกับบุคคลอื่นหรือระหว่างตัวละครกับสภาพแวดล้อม  และความขัดแย้งหลักอันเป็นความขัดแย้งที่เป็นหลักสำคัญของเรื่อง
        2.2 โครงเรื่องแบบใหม่ เป็นโครงเรื่องที่ไม่เน้นความสำคัญและความสัมพันธ์ของลำดับเหตุการณ์  แต่เน้นที่พฤติกรรมและสภาพความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเป็นสำคัญ  โครงเรื่องแบบนี้บางครั้งเรียกว่าโครงเรื่องแบบเปิด(Open Plot) เพราะเป็นโครงเรื่องที่ไม่มีข้อยุติตายตัวเหมือนโครงเรื่องแบบเก่า
เมื่อพิจารณาโครงเรื่องของเรื่องสั้น “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” จะพบว่าเป็นโครงเรื่องแบบใหม่  มีการสร้างปมปัญหาและพัฒนาไปสู่จุดวิกฤติ(Climax) อันจะนำไปสู่การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งของตัวละคร  โดยตัวละคร “ฉัน” พบว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงคิดฆ่าตัวตายที่สะพานแห่งหนึ่ง  แต่เมื่อ “ฉัน”พบว่ามีคนจำนวนมากคิดเอารัดเอาเปรียบและเอาประโยชน์จากการฆ่าตัวตายของ “ฉัน”   “ฉัน” จึงเลิกล้มความคิดฆ่าตัวตายเป็นการแก้แค้นคนเหล่านั้น    การที่ตัวละคร “ฉัน” พบว่าคนที่มุงดูกำลังเอารัดเอาเปรียบเขาอาจจะถือเป็นจุดวิกฤติของเรื่องที่นำไปสู่การเลิกล้มความคิดฆ่าตัวตายอันเป็นการคลี่คลายเรื่อง  โครงเรื่องนี้หากพิจารณาไม่ละเอียด อาจจะดูคล้ายโครงเรื่องแบบเก่า แต่เราจะพบว่าผู้เขียนเน้นมุ่งขมวดและคลี่คลายปมเพื่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจมากนัก เป็นเพียงเล่าเรื่องอย่างเรียบเรื่อยจนบางครั้งดูน่าเบื่อด้วยซ้ำไป  ทั้งนี้เพราะเป้าหมายหลักของผู้เขียนมิได้เน้นที่โรงเรื่อง  แต่จะเน้นที่ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครมากกว่า
ดังนั้น โครงเรื่องของ“ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” จึงไม่เน้นความสำคัญและความสัมพันธ์ของเหตุการณ์  แต่จะเน้นที่พฤติกรรมและสภาพความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเป็นสำคัญ  เป็นโครงเรื่องในลักษณะของวรรณกรรมแนว “แอบเสิร์ด” (absurd)    มีลักษณะที่ตรงกันข้ามกับแบบแผนที่เคยมีมา คือ เหตุการณ์ในเรื่องไม่สัมพันธ์กัน  ไม่เสนอเรื่องไปตามลำดับจากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดจบ  ไม่มีปัญหาที่สร้างความเร้าใจให้กับผู้อ่าน   เราจะพบว่าวิทยากรเขียนเรื่องนี้อย่างเรียบเรื่อยคล้ายๆ กับเป็นเพียงการเล่าเรื่องที่ผู้เขียนนึกอยากจะเล่าเหตุการณ์ตอนไหนก่อนหรือหลังก็ได้  ขณะที่เรื่องดำเนินไปก็อาจจะแทรกเหตุการณ์หรือความรู้สึกของตัวละครเข้ามาอย่างไม่มีเหตุผล  ไม่มีจุดที่เป็น Climax  ที่แน่ชัดและสามารถเร้าใจผู้อ่านเพื่อคลี่คลายไปสู่จุดจบ การจบเรื่องที่ “ฉัน” เลิกล้มการฆ่าตัวตายเพื่อแก้แค้นคนที่มามุงดู  แม้อาจจะดูคล้ายกับจะเป็นการ “หักมุมจบ” ตามเรื่องสั้นแบบเก่า  แต่ก็ไม่น่าจะถือเป็นการหักมุม  เพราะการดำเนินเรื่องที่เรียบเรื่อยไม่ได้เร้าใจให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกผิดความคาดหมายที่ตัวละครไม่ฆ่าตัวตายแม้แต่น้อย

3.แนวคิด
        แนวคิดหรือแก่นเรื่องของเรื่องสั้นเรื่องนี้จัดเป็นแก่นเรื่องประเภทเสนอความคิดและพฤติกรรมของตัวละครที่คลี่คลายมาจากความรู้สึกนึกคิดและอารามณ์ แนวคิดหลักที่วิทยากรต้องการเสนอเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับปรัชญา “เมื่อฉันคิดอะไรไม่ออก  ฉันก็เลยหาเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปไม่ได้” ซึ่งเป็นความคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากฌอง ปอล ซาร์ตร์  นักเขียนนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้ปฏิเสธรางวัลโนเบล ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักเขียนรุ่นใหม่ในยุคแสวงหา(ทศวรรษ 2510) ซาร์ตร์ถือว่าความเป็นมนุษย์มีลักษณะที่ปรากฏชัดให้ศึกษาอยู่ 3 ประการ คือ
       1. เป็นความรู้สึกสำนึก  คือ ความรู้สึกสำนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว แล้วแยกตัวเองออกจากสิ่งเหล่านั้น
       2. เป็นความว่าง  เมื่อทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว ล้วนอยู่นอกตัวความรู้สึก  ทำให้มนุษย์เห็นว่าตัวความรู้สึกสำนึกนั้นกลายเป็นโพรงว่างๆ ท่ามกลางวัตถุต่างๆ  เป็นความว่างเปล่าไม่มีอะไร  ดังนั้น“ฉัน”จึงเห็นว่า “ฉันมองไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันควรจะอยู่ต่อไป  และฉันก็ไม่รู้ว่าคนเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”
       3. เป็นความเสรี เมื่อมันไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร มนุษย์จึงมีอิสระเสรีเพราะไม่มีอะไรมากำหนด  ดังนั้น“ฉัน”จึงมีเสรีที่จะฆ่าตัวตายและไม่ฆ่าตัวตาย
       แก่นเรื่องของ“ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย”แสดงให้เห็นว่า“ฉัน”เลือกที่จะฆ่าตัวตายเพราะฉันเห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยที่ความไม่มีเหตุผลนี้ถูกกำหนดโดยสังคมที่ทำให้มนุษย์(หรือ”ฉัน”)ไม่มีอิสระ ไม่มีเสรีในตัวของตัวเอง แต่เมื่อ“ฉัน”พบว่าในการฆ่าตัวตายนั้น มี “คน”ในสังคมคิดแสวงหาประโยชน์  “ฉัน”จึงเลิกล้มการฆ่าตัวตายเพื่อให้คนเหล่านั้นผิดหวัง “สะพาน”ในเรื่องนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นตัวเชื่อมต่อความคิดเก่ากับความคิดใหม่  การฆ่าตัวตายของ”ฉัน” จึงเป็น“การฆ่าตัวตนเก่าทิ้งไป”  เพราะเมื่อ”ฉัน”กลับลงมาถึงข้างล่าง “ฉัน”ก็พบว่า“ทัศนคติของฉันกลับเปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง” ซึ่งผู้เขียนไม่ได้บอกไว้อย่างชัดเจน แต่ผู้อ่านจะต้อง“คิดต่อ”หาข้อสรุปเอาเองว่าทัศนคติของ“ฉัน”เปลี่ยนไปอย่างไร อันเป็นลักษณะสำคัญของโครงเรื่องแบบเปิดหรือโครงเรื่องแบบใหม่  ที่ปล่อยให้ผู้อ่านคิดเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปเอาเอง
       ในการนำเสนอ  วิทยากรใช้กลวิธีนำเสนอผ่านพฤติกรรมและการบอกเล่าความคิดของตัวละคร“ฉัน”  ซึ่งถือว่าสามารถทำได้ดีทั้งในแง่ของการสร้างภาวะความรู้สึกไร้เหตุผล  ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวและพฤติกรรมที่สอดคล้องต้องกันของตัวละคร “ฉัน”

4.เนื้อเรื่องย่อ
ตัวละคร “ฉัน” เกิดความรู้สึก “ฉันมองไม่เห็นเลยว่า มีเหตุผลอะไรทีฉันควรจะอยู่ต่อไปอีก  และฉันก็ไม่รู้เลยว่าคนเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”  แม้“ฉัน”พยายามที่จะหาเหตุผลให้กับการมีชีวิตอยู่  แต่ก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้ ทำให้เกิดความรู้สึกเงียบเหงาแปลกแยกต่อตัวเองและสังคม  นำไปสู่การตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย “ฉัน”จึงเดินทางไปยังสะพานแห่งหนึ่งเพื่อกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย  แต่เมื่อ“ฉัน”ปีนขึ้นไปบนสะพานเพื่อกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย ก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีทั้งนักข่าวหนังสือพิมพ์ พ่อค้าหาบเร่ นักเรียน พระหนุ่ม หญิงสาว ตำรวจ กำลังมองดูการฆ่าตัวตายของ“ฉัน”ด้วยแววตาที่มีจุดประสงค์ต่างกัน ซึ่ง“ฉัน”พบว่าล้วนเป็นแววตาที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์และเอารัดเอาเปรียบหรือแม้กระทั่ง “การได้สนุกกับความตายของฉัน”  ทำให้“ฉัน”เลิกล้มความคิดฆ่าตัวตายเพื่อเป็นการแก้แค้นคนเหล่านั้น

5.ฉาก
ฉากที่สำคัญในเรื่องนี้มี 2 ฉากสำคัญ คือ ฉากที่เป็นถนนในเมืองใหญ่และสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งอันเป็น  “เป็นสะพานเก่าแก่ที่มีความยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่ไม่น้อย”(หน้า 64) การสร้างฉากของผู้เขียนจะไม่เน้นให้เกิดสมจริงหรือความชัดเจนแต่ประการใด แต่จะมุ่งเน้นเพื่อสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากกว่า  ดังที่ผู้เขียนแสดงไว้ในตอนที่ “ฉัน” กำลังเดินทางไปสู่สะพานว่า
       “ฉันเริ่มส่ายตาหาที่เหมาะๆ ขณะที่ย่ำไป  มีอาคารคอนกรีตสูงๆ อยู่ถมเถ  แต่รูปร่างที่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมแข็งและหยาบของมันทำให้ดูไม่น่าจะใช้เป็นที่สำหรับการกล่าวอำลาเลย…
       “ฉันเปลี่ยนเส้นทางเดินมุ่งไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งฉันคุ้นเคยกับมันดี  เป็นสะพานเก่าแก่ที่มีความยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่ไม่น้อย  ฉันคิดว่ามันคงเป็นที่ที่ดีที่สุดที่จะหาได้ในเมืองอันน่าเกลียดเมืองนี้  ฉันเดินไป เดินไป  และก็ช่างประหลาดอะไรอย่างนั้น  ใจฉันสงบมากกว่าที่เคยนึกไว้เสียอีก  ฉันลืมความหิวไปแล้ว  จะรู้สึกก็แต่ความอ่อนเพลียเท่านั้น  มันคงจะน่าอับอายไม่น้อย  ถ้าจะต้องมาเป็นลมล้มระหว่างที่เดินไปสู่ความตายอันยิ่งใหญ่กว่ากันมากนัก---
       “ช่างมีรถในถนนมากมายเสียนี่กระไร  …”(หน้า 64)
       ซึ่งสามารถทำให้ผู้อ่านเห็นภาพของถนนและสะพานในเมืองได้ชัดเจนพอสมควร แต่นั่นมิใช่สิ่งที่ผู้เขียนเน้น  สิ่งที่ผู้เขียนต้องการเน้น คือ อารมณ์และความรู้สึกของตัวละครที่กำลังแสวงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่กำลังเดินทางไปสู่ความตาย  ความไม่สมจริงที่อาจปรากฏให้เห็น  เช่น ผู้เขียนกล่าวถึงการเดินทางไปสู่สะพานว่าบนถนนไปสู่สะพานนั้น “มีรถในถนนมากมายเสียนี่กระไร” แต่ที่สะพานกลับ “ปลอดคน” ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นความบกพร่องของผู้เขียน  เพราะสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อก็คือความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว(ที่มีจะอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากก็มีความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียว) ในถนนมีรถยนต์มากมายแต่ภายในรถยนต์กลับมีแต่ที่ว่าง  “คน”ที่ขับรถอยู่ก็“เป็นเหมือนรถยนต์ที่เขาขับมานั่นแหละ  เป็นอยู่และเคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติเท่านั้น” (หน้า 65) ส่วน “คน” ซึ่งมามุงดู“ฉัน” ที่ปรากฏในฉากสะพานที่ฉันกำลังจะ“ฆ่าตัวตาย”ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฉากหรือเป็นตัวละครประกอบก็ได้  ซึ่งฉากหรือตัวละครตรงนี้ก็ไม่เน้นที่จะให้เกิดความสมจริง  เพราะการที่จะให้ “คน” กลุ่มต่างๆ มารวมพร้อมกันดังในเรื่องเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้ยาก  แต่การที่ผู้เขียนสร้างฉากเช่นนี้ขึ้นมานั้น  อาจกล่าวได้ว่าเป็นเจตนาที่จะจำลองภาพของสังคมทั้งหมดอันประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งล้วนมุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากเพื่อมนุษย์ด้วยกัน(แม้กระทั่งจากความตาย) มากกว่า
ความสมจริงของฉากในวรรณกรรมแนวแอบเสิร์ดนี้จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ผู้เขียนจะต้องคำนึงถึง ผู้เขียนจะไม่คำนึงว่าจะมีความสมจริงหรือไม่ แต่จะคำนึงว่าจะสามารถสื่ออะไรให้กับผู้อ่านมากกว่า  ฉากของเรื่องนี้จึงเป็นมากกว่าสถานที่และบรรยากาศ  คือเป็นสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนบอกว่า
       “สะพานดูเหมือนจะเป็นเครื่องหมายของการนำเราไปสู่ที่ใดที่หนึ่งซึ่งอาจเป็นจุดหมายหรือเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากไปสู่   และก็เป็นทั้งเครื่องเชื่อมโยงของสองสิ่งให้รวมเป็นสิ่งเดียวกัน…คราวนี้มันคงจะได้ทำหน้าที่นำฉันไปสู่ความตายและเชื่อมโยงชีวิตฉันให้เป็นอันหนึ่งกันเดียวกันกับอะไรสักอย่าง” (หน้า 64)
นอกจากนี้การเลือกเวลาและบรรยากาศให้เป็นยามสายที่อากาศจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก็ถือเป็นการเลือกเวลาและบรรยากาศที่เหมาะสมกับตัวละครและแก่นเรื่องที่สร้างความรู้สึกเงียบเหงาว้าเหว่ได้ค่อนข้างชัดเจน ถนนที่ยาวไกลไปสู่สะพานก็ยิ่งทำให้ตัวละครรู้สึกเปล่าเปลี่ยวท่ามกลางรถยนต์บนถนนจำนวนมากนั้นได้มากขึ้น  ระยะห่างระหว่างฉันบนสะพานกับคนที่มา “มุงดู” (ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วจะห่างเกินกว่าที่จะสามารถมองเห็น“ความคิด”จากแววตาของคนเหล่านั้นได้) ก็ยิ่งทำให้“ฉัน” โดดเดี่ยวจากสังคมได้อย่างชัดเจน

6. บทสนทนา
ตลอดทั้งเรื่องจะมีบทสนทนาเพียงครั้งเดียวในตอนที่ฉันถามตำรวจหลังจากที่ลงจากสะพานแล้วว่า“มีเงินพอเลี้ยงข้าวผมสักมื้อไหมล่ะจ่า” ซึ่งเป็นคำพูดที่ดูไร้ความหมายและไม่เกี่ยวกับแนวคิดหรือโครงเรื่องเลย แต่ถ้าจะว่าไปแล้วนี่ก็คือความไร้สาระหรือไม่มีเหตุผลของความเป็นมนุษย์นั่นเอง อันเป็นลักษณะสำคัญของวรรณกรรมแนวนี้ที่บทสนทนาของตัวละครจะมีลักษณะที่ดูเหมือนกับเป็นคำพูดที่ไม่มีเหตุผลหรือไร้สาระและไม่ปะติดปะต่อกัน   แต่ก็มีความหมายค่อนข้างมากในอันที่จะอธิบายแก่นเรื่อง  ที่ต้องการเน้นให้เห็นถึงความไร้สาระไร้ความหมายของชีวิตมนุษย์ แสดงให้เห็นถึงสภาวะหลังที่ได้ “ฆ่าตัวตนเก่า” อันเป็นตัวตนที่แปลกแยก  แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มิใช่เป็นเสมือนความสัมพันธ์ในเชิงกลไกอันไร้ความรู้สึกและวิญญาณที่มนุษย์ในสังคม “เมือง” มีต่อกัน  มนุษย์ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันในเรื่องที่เป็นงานเป็นการหรือที่เป็นผลประโยชน์เสมอไป

7.ตัวละคร
ตัวละครหมายถึงผู้ประกอบพฤติกรรมตามเหตุการณ์ในเรื่องหรือผู้ที่ได้รับผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามโครงเรื่อง   เรื่องสั้นโดยทั่วไปมีตัวละครสำคัญเพียงตัวเดียว  หรือมีน้อยตัว  สำหรับในเรื่อง “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” จะมีตัวละครสำคัญคือ“ฉัน” ส่วนบุคคลที่กล่าวถึงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ (นักหนังสือพิมพ์หรือนักข่าว) พ่อค้าหาบเร่  นักเรียนกลุ่มหนึ่ง พระสองรูป หญิงสาวและตำรวจ ล้วนแสดงบทบาทที่เป็นตัวแทนของคนในสังคมซึ่งปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของ“ฉัน” เท่านั้น (แม้จะเข้ามาเป็นวันหนึ่งในเรื่องในฐานะของคนที่กำลังมุงดู“ฉัน”ในขณะที่กำลังจะฆ่าตัวตาย)
ตัวละครของเรื่อง คือ“ฉัน”ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องจะมีลักษณะที่ไม่ค่อยสมจริงนัก พฤติกรรมของตัวละครอาจมีบางอย่างที่ดูเป็นไปไม่ได้หรือขัดแย้งกันในตัวเอง มีความรู้สึกนึกคิดที่ไม่สอดคล้องกับสังคม  มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมเหตุสมผลหรือบางครั้งอาจไม่คาดคิดได้ ตามลักษณะของตัวละครของวรรณกรรมแนวแอบเสิร์ด  มีลักษณะที่พอจะสังเกตได้ คือ
       1. ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ  คิดกระทำในสิ่งที่ไร้เหตุผลหรือเป็นไปไม่ได้ เช่น  “ฉันเคยนึกถึงกับจะเอาปีกกระดาษใหญ่ๆ ผูกติดกับลำตัวเพื่อที่จะร่อนลงมาด้วยซ้ำ…”
       2. ไม่ศรัทธาต่อเหตุผลและกฎเกณฑ์ทางสังคม  การแสดงออกเป็นไปในลักษณะของการขัดแย้งกันเหตุผลและกฎเกณฑ์ทางสังคม  ดังข้อความที่ว่า
“…ฉันถูกอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มีราคา  และการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป  เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด…ฉันไม่ค่อยจะได้ติดใจคำสอนนี้อยู่แล้ว  ไม่ใช่เพียงแต่จะระแวงว่ามันเป็นคำสอนของผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคิดฆ่าตัวตายมาก่อนเท่านั้น  แต่ยังเป็นเพราะฉันไม่อาจมองเห็นค่าในชีวิตได้จริงๆ ด้วยฉันเห็นชีวิตมาแล้วไม่น้อย  ชีวิตที่เกิดมาง่ายๆ เป็นอยู่ง่ายๆ และตายง่ายๆ  เป็นชีวิตที่ได้มาเปล่าๆ ทั้งสิ้น… ใครกันมีหน้ามาบอกว่า  ชีวิตเป็นสิ่งมีราคา การฆ่าตัวตายเล่าเป็นบาปละหรือ  เป็นบาปได้อย่างไรกัน  ในเมื่อเราไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน…” (หน้า 60)
       3. ตัวละครมีลักษณะโดดเดี่ยวอ้างว้าง  หลายครั้งที่”ฉัน”บอกออกมาอย่างตรงๆ ว่าโดดเดี่ยวอ้างว้าง เหนื่อยหน่าย หรือเงียบเหงา  ดังที่ว่า
         “ฉันมองไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันควรจะใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป  ฉันถูกอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มีราคา  และการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป  เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด  แต่จะให้ฉันคิดอยู่เช่นนั้นได้อย่างไรในวันเช่นนี้  วันอาทิตย์ที่เงียบเหงา ไม่มีเพื่อนพอที่จะรับรู้ความรู้สึกเหนื่อยหน่ายร่วมกันได้สักคน…” (หน้า 60)
“…ฉันเห็นท่าจะลุกเดินเสียที  ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินไปไหน  แต่มีถนนสำหรับจะให้เดินอยู่เยอะ  และทุกสายก็พาไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนกันทุกสายนั่นแหละ…” (หน้า 62)
      4. ตัวละครมีลักษณะเป็น Anti – Hero  คือมีลักษณะเป็นบุคคลธรรมดาสามัญที่มีชีวิตเรียบง่าย  ไม่มีลักษณะที่โดดเด่นใดๆ เป็นคนที่ต้องการกำหนดชะตากรรมของตนเอง  ไม่มีพฤติกรรมใดที่จะแสดงความเป็น Hero หรือมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษเหมือนกับตัวเอกในเรื่องสั้นแบบเก่า  “ฉัน” เป็นผู้ที่เห็นว่าตัวเองนั้นไม่มีค่าอะไร  มีแต่ความไร้สาระ  การเป็นนักเขียนก็ไม่ได้คิดที่จะเป็นผู้มีชื่อเสียง“ไม่ได้มีความหมายสูงสุดอะไรนัก”(หน้า 61) และ“ฉันไม่ได้ฝันถึงวันที่จะเป็นนักเขียนใหญ่เสียด้วยซ้ำ  เพราะฉันไม่เคยยึดถือในเรื่องเหล่านี้…”(หน้า 61-62)  “ฉัน”จึงเป็นเพียงบุคคลเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความหมายใดๆ ในสังคม  ไม่ได้มีความสำคัญอะไรที่ผู้คนทั่วไปจะต้องให้การเคารพยกย่อง ยอมรับหรือมีพฤติกรรมอะไรที่โดดเด่น การกระโดดน้ำฆ่าตัวตายของ“ฉัน”จึงเป็นเสมือนการแสดงอย่างหนึ่งที่ผู้คนที่ผ่านไปมาจะหยุดดูด้วยความสนุกสนานหรือเพลิดใจเท่านั้น

8. กลวิธีการเล่าเรื่อง
  กลวิธีในการเล่าเรื่องในเรื่องสั้นโดยทั่วไป อาจมีหลายแบบ  แต่สำหรับใน“ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” ผู้เขียนใช้ 3 แบบ  ผสมผสานไปด้วยกัน  คือ
1. การบรรยายแบบกระแสสำนึก(Stream of Consciousness) โดยให้“ฉัน”เป็นผู้บรรยายอารมณ์ความรู้สึก ความทรงจำ ความรำลึกให้พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ โดยอาจจะเล่าอย่างเรื่อยๆ ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจเล่าออกมาโดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าสิ่งใดเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง  ไม่สนใจที่จะเรียงลำดับเหตุการณ์  โดยมีทั้งการรำพึงรำพันความรู้สึกนึกคิด  การแสดงออกถึง “การวิเคราะห์ภายใน” ของตัว“ฉัน”เอง   ตลอดจนการคาดคะเนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น
2. การใช้สัญลักษณ์  ผู้เขียนเลือกใช้สัญลักษณ์เพื่อนำเสนอความคิดหลักของเรื่อง 2 อย่าง  คือ ถนน และสะพาน   ถนน(นำมาเป็นชื่อเรื่องด้วย) ที่ “ยาวและร้อนระอุ” เป็นสัญลักษณ์แทนการเดินทางหรือการมีชีวิตอยู่อย่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเพื่อไปสู่เป้ามหมาย คือความตาย ส่วนสะพาน  เป็นสัญลักษณ์ของการไปสู่เป้าหมายและเชื่อมต่อกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วข้างต้น
      3. การบรรยายแบบเหนือจริง  เป็นการแสดงออกในลักษณะของจิตใต้สำนึกโดยใช้เครื่องมือที่สำคัญคือการใช้สัญลักษณ์แทนความรู้สึกนึกคิด เป็นการแสดงออกโดยจิตที่ปราศจากเหตุผลหรือกฎเกณฑ์  ดังปรากฏในในตอนที่“ฉัน”บรรยายถึง“ความคิด” ของคนที่มามุงดู“ฉันฆ่าตัวตายอยู่” จากแววตาและท่าทาง ซึ่งหากจะมองในความจริงแล้วระยะระหว่าง“ฉัน”กับคนเหล่านั้นย่อมไม่สามารถมองเห็นความคิดแววตานั้นได้ชัดเจน

9.วินิจฉัยหรือตีความ
ชื่อเรื่อง “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” ได้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดสำคัญของเรื่องอย่างชัดเจนถึงความคิดฆ่าตัวตายของฉันที่เนื่องมาจาก “ฉัน” มองไม่เห็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ต่อไป  และผู้เขียนก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าแท้ที่จริงแล้วการฆ่าตัวตายก็คือการฆ่าตัวตนเก่าทิ้งไป  แต่สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจให้ได้ก็คือ  อย่างไรที่เรียกว่าตัวตนเก่า  อย่างไรที่เป็นตัวตนหลังจากที่ฆ่าตัวตนเก่าทิ้งไปแล้ว  หากพิจารณาตามหลักปรัชญาของ ฌอง ปอล ซาร์ตร์ และ อัลแบร์ กามูร์  ตัวตนเก่าก็คือความคิดเก่าที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งอื่น  คือตัวตนที่ไม่มีความอิสระ  เป็นตัวตนที่เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์กับสังคมแล้วจะเกิดลักษณะที่เรียกว่าเป็น “ความแปลกแยก” อันได้แก่ความรู้สึกว้าเหว่ เงียบเหงา เดียวดาย  ความรู้สึกที่เกิดจากสังคมสมัยใหม่ที่ผู้คนในสังคมมีความสัมพันธ์กันแบบเครื่องจักรที่ไร้ชีวิตจิตใจ  เป็นความสัมพันธ์จอมปลอมที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากกันและกัน  แสวงหาผลประโยชน์แม้กระทั่งจากความตายของผู้อื่น  ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือนักหนังสือพิมพ์(หรือช่างภาพ) ที่มองเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้  ดังว่า
       “…ฉันคงเป็นเหยื่อชิ้นสำคัญที่เขาไม่เคยพบพานมาเสียนมนานทีเดียว  รูปถ่ายของฉันตอนที่กระโดดลงไปคงจะทำให้เขาเด่นขึ้นมาในวงงานที่เขาทำอยู่ไม่น้อย  มันคงจะหมายถึงเงินสักก้อนหนึ่งซึ่งคงจะพอให้เขาเอาไปซื้อเหล้าและผู้หญิงดื่มกินเท่าที่เขาปรารถนา  ทั้งมันอาจจะหมายถึงรางวัลที่เขาจะได้ในการประกวดภาพถ่ายที่ไหนสักแห่งหนึ่งด้วยซ้ำ…” (หน้า 67)
หรือพ่อค้าหาบเร่ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความรีบร้อนก็จะหยุดดูเพียงเพื่อตะได้ดู “เหตุการณ์พิเศษซึ่งหาดูได้ไม่มากง่ายนัก” ซึ่งเขาคิดว่า “มันคงคุ้มที่จะได้หยุดสักประเดี๋ยวประด๋าวดูคนโดดน้ำตายเล่น” (หน้า 67)  เด็กนักเรียนที่รักสนุกเกินกว่าจะรู้จักความเมตตา   พระหนุ่มสองรูปที่เผลอตัวแสดงความอยากรู้อยากเห็นของตนออกมาโดยลืมเลือกความเป็น “พระ” ที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อชีวิตสรรพสัตว์  หญิงสาวที่อยู่ในโลกของความฝันจนเกินกว่าจะเข้าใจความเป็นจริงของสังคม  ตลอดจนตำรวจที่อาจจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองมากกว่าที่จะปฏิบัติหน้าที่ในอันที่จะมุ่งให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในสังคม
การฆ่าตัวตายที่เป็นการฆ่าตัวตน “เก่า” ทิ้งไป จึงอาจจะหมายถึงการมีอิสระในตนเอง  และขณะเดียวกันการเลิกล้มความคิด “ฆ่าตัวตาย” จริงๆ เพื่อเป็นการ “แก้แค้น” คนที่มามุงดู(หรือหมายถึงคนในสังคม) ที่เห็น “ฉัน” เป็นเพียงวัตถุหรือตัวตลกให้สามารถเอารัดเอาเปรียบได้แม่แต่ความตาย  การตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายจึงเป็นการสร้างความสะใจให้กับตนเอง  เป็นการแก้แค้นคนและสังคม  และย่อมหมายถึงเป็นความรู้สึกใหม่ที่เป็นชีวิตที่เป็นอิสระจากการตัดสินของสังคม  อันเป็นตัวตนที่แสดงให้เห็นถึงความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์  ถนนจึงเป็นเส้นทางที่นำ “ฉัน” ไปสู่ตัวตนใหม่ในขณะที่สะพานคือที่ซึ้งสลัดตัวตนเก่าทิ้งไป  เชื่อต่อฉันกับตัวตนใหม่ที่มีชีวิตชีวิต  ไม่มีความแปลกแยกในตนเองอีกต่อไป   คำพูดที่ฉันกล่าวกับตำรวจเป็นการแสดงให้เห็นว่า  ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเสมอไป  เพราะมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร  แต่มนุษย์ย่อมมีอารมณ์ความรู้สึก  กิจกรรมของมนุษย์จึงไม่ใช่กิจกรรมที่จะก่อประโยชน์ในแง่ของการบริโภคเพื่ออการมีชีวิตอยู่หรือยังชีพเพียงประการเดียว
ความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งที่แทรกอยู่ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ คือ ความคิดว่าด้วยความแปลกแยก  อันเป็นปรัชญาของกลุ่มมนุษย์นิยมใหม่ที่พูดถึงสภาวะของมนุษย์ในสังคมเมืองหรือสังคมแบบอุตสาหกรรม
ความแปลกแยก(Alienation) คือ สภาวะที่ทำให้ดูเหินห่างหรือไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์  อาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
       1. ความแปลกแยกจากผลผลิตหรือผลผลิตที่แปลกแยก  คือแรงงานหรือผลผลิตจากแรงงานที่ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเพื่อยืนยันถึงความมีอยู่ของเจ้าของแรงงาน  กลับกลายเป็นอิสระจากตัวเขา  เขาได้ตกเป็นทาสของผลผลิตของเขาแทนที่จะเป็นนาย
       2. ความแปลกแยกจากที่ชีวิตแห่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ หรือความแปลกแยกที่มนุษย์มีต่อตนเอง หมายถึงการลดระดับกิจกรรมการผลิตที่เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอิสระ และมีเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อชีวิตในด้านอารมณ์ความรู้สึกและความงามให้กลายเป็นเพียงการตอบสนองทางกายเพื่อการมีชีวิตอยู่เท่านั้น มนุษย์จะมีความรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง  ตัวตนที่ปรากฏไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง  ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างเงียบเหงา  ไร้เป้าหมาย ไม่มีเหตุผล
       3. ความแปลกแยกที่มนุษย์มีต่อสังคม  เป็นความรู้สึกที่มนุษย์จะมีความรู้สึกว่าคนที่ตนอยู่ร่วมนั้นเป็นคนแปลกหน้า  ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์จอมปลอมหรือหลอกลวงใส่หน้ากากเข้าหากัน  ไร้ความจริงใจต่อกัน  ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังจะได้ประโยชน์จากกัน  มองเพื่อนมนุษย์เหมือนวัตถุ  มีความหวาดระแวง  ไม่ไว้ซึ่งกันและกัน
ความคิดเรื่องความแปลกแยกนี้ได้แสดงให้เห็นทั้งในส่วนของการพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว  อันเป็นความแปลกแยกที่มนุษย์มีต่อตนเองดังได้กล่าวแล้วข้างต้น  รวมทั้งความแปลกแยกจากผลผลิตและความแปลกแยกที่มนุษย์มีต่อสังคม
ในด้านของความแปลกแยกจากผลผลิต  เป็นแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นอิสระของมนุษย์ในแง่ของสิ่งที่เป็นผลผลิตของมนุษย์ได้กลายมาเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือมนุษย์  เช่น มนุษย์สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อควบคุมพฤติกรรมบางอย่าง แต่มนุษย์กลับตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้นโดยมิได้คำนึงถึงความเป็นจริงหรือความถูกต้องใดๆ มนุษย์กำหนดเงินขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือแทนการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของเพื่อให้เกิดความสะดวก  แต่มนุษย์กลับกลายเป็นทาสของเงิน  ดังตอนหนึ่งที่ว่า
        “…ก่อนนี้มนุษย์เราเคยภูมิอกภูมใจกันนักที่สามารถสร้างรถมาไว้รับใช้ได้  แต่เดี๋ยวนี้มันกลับกลายมาเป็นความจำเป็นจนถูกไม่ออกแล้วว่ารถเป็นทาสของคนหรือคนเป็นทาสของรถกันแน่…”(หน้า 64)
ในด้านความแปลกแยกระหว่างมนุษย์(ในฐานะปัจเจกชน)กับสังคม เป็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่เป็นลักษณะเป็นคนแปลกหน้ากัน  เช่น เป็นความสัมพันธ์กันในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน  แม้จะรู้จักกันก็ไม่มีอะไรที่เป็นความสัมพันธ์เกินกว่าที่มองเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร  ไม่มีความเห็นอกเห็นใจกัน  ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับช่างภาพหนังสือพิมพ์  เด็กนักเรียน  พระ  หญิงสาว พ่อค้าหาบเร่ และตำรวจในเรื่อง  ซึ่งไม่มีลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เหลืออยู่  ต่างคนต่างก็หวาดระแวงและมุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากกันและกัน
       ความแปลกแยกดังกล่าวข้างต้น  เป็นความแปลกแยกที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนในสังคมเมืองที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจสูงหรือสังคมอุตสาหกรรมที่มักเน้นที่วัตถุมากกว่าคน  หรือเน้นที่ผลผลิตมากกว่าผู้ผลิต  ดังที่เราจะสามารถพบเห็นได้อย่างเสนอๆ ว่า  คนในสังคมเมืองแม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน  ก็จะใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่  หวาดระแวงซึ่งกันและกัน  มีความรู้สึกว่าผู้คนคิดร้ายต่อตน  แย่งชิงผลประโยชน์จากตน  เหล่านี้เป็นต้น

10. สรุป
แม้ “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” จะเขียนขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 หรือเกือบสี่สิบปีมาแล้ว  แต่สิ่งที่ผู้เขียนให้“ฉัน”แสวงหา หรือปรัชญาความคิดที่ปรากฏในเรื่องก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้อย่างเด่นชัดในสังคมปัจจุบัน เราจะพบว่าในปัจจุบันคนในสังคมเมืองก็เป็นเช่นเดียวกัน“ฉัน”คือเต็มไปด้วยความรู้สึกเงียบเหงาว้าเหว่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนก็จะมีความแปลกแยกมากขึ้นตามลำดับ การฆ่าตัวตายของคนที่ไร้ทางออกในชีวิตที่เต็มไปด้วยความว้าเหว่หรือปัญหาในชีวิตมีมากขึ้นตามลำดับ แม้กระทั่งผู้ที่ฆ่าตัวตายเพราะการสูญเสียทรัพย์สินหรือฐานะทางสังคมที่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วเกิดเพราะบุคคลเหล่านั้นได้กลายเป็นทาสของทรัพย์สินเงินทองจนมองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต  ไม่ได้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต








บรรณานุกรม
กองบรรณาธิการ. “ประวัติการศึกษา การทำงาน และผลงานของวิทยากร  เชียงกูล” ใน ศรีบูรพา 1. พฤษภาคม  2541. (หน้า 87-91.)
ธัญญา  สังขพันธานนท์,  วรรณกรรมวิจารณ์. นาคร,2539.
บรรจง  บรรเจิดศิลป์, “วรรณกรรมวิจารณ์” มติชนสุดสัปดาห์. 8:2542 17 กุมภาพันธ์  2528. และ 8:2563 2528  10 มีนาคม 2528. ( หน้า 38-39 )
บุหลัน  รัตนกฤษฎาธาร. “วิเคราะห์ปัญหาเรื่องความแปลกหน้า ในหนังสือต้นฉบับเรื่องเศรษฐกิจและปรัชญา ของ คาร์ล  มาร์กซ์.” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต  แผนกวิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2519.
วิทยากร  เชียงกูล. ฉันจึงมาหาความหมาย.  พิมพ์ครั้งที่ 10 ; สามัญชน,2533.
สุชาติ  สวัสดิ์ศรี, “จิตสำนึกขบถในงานวรรณกรรมไทยสมัยใหม่” ใน  ภาษาและหนังสือ. 16:2 ตุลาคม 2526- มีนาคม 2527. (หน้า 51-77.)
สุชาติ  สวัสดิศรี “บทกล่าวนำ” ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย. ดวงกมล,2518.
สุดารัตน์ เสรีวัฒน์,วิวัฒนาการของเรื่องสั้นในเมืองไทยตั้งแต่แรกจนถึง พ.ศ.2475. หน่วยศึกษานิเทศก์, กรมการฝึกหัดครู,2522. หน้า 14.
สุพรรณี  วราทร. ประวัติการประพันธ์นวนิยายไทย.มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์,2519.
สุวรรณา  เกรียงไกรเพ็ชร. พระอภัยมณี การศึกษาในเชิงวรรณคดีวิจารณ์ . สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย, 2518.  .
สุวัฒน์  วรดิลก “รางวัลศรีบูรพาอันดับ 10.”  ใน ศรีบูรพา 1. พฤษภาคม  2541.  หน้า 65-69.
อุดม  หนูทอง,  พื้นฐานการศึกษาวรรณคดีไทย. สงขลา : โรงพิมพ์เมืองสงขลา,2523.

วิเคราะห์นวนิยายเรื่องคนดีศรีอยุธยา ของ เสนีย์ เสาวพงษ์

วิเคราะห์นวนิยายเรื่องคนดีศรีอยุธยา ของ เสนีย์ เสาวพงษ์

๑. บทนำ

“คนดีศรีอยุธยา” เป็นนวนิยายในยุคหลังของเสนีย์ เสาวพงศ์ ซึ่งเป็นนามปากกาของศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ นักเขียนผู้มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ แม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเหมือนกับนวนิยายอีกหลายเรื่องของท่านที่เขียนขึ้นในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ อย่าง “ปีศาจ”และ “ความรักของวัลยา” ก็ตาม แต่นวนิยายเรื่องนี้ก็ทรงคุณค่าและน่าศึกษาไม่น้อยทั้งในแง่ของการเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในแนวที่แตกต่างไปจากนักเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ท่านอื่นๆ และการเสนอปรัชญาความคิดที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
นักเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์โดยทั่วไป มักจะยึดเอาเหตุการณ์ที่มีในพระราชพงศาวดารมาใช้เป็นเค้าโครงเรื่องแล้วใช้จินตนาการแต่งเติมเสริมแต่งให้สนุกสนานและมีลักษณะรูปแบบที่เป็นนวนิยาย โดยในด้านหนึ่งมักจะยึดเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพงศาวดารเป็นเนื้อหาข้อเท็จจริง และสอดแทรกส่วนที่เป็นจินตนาการเข้าไปโดยพยายามที่จะไม่ให้ผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริงจนเกินไปนัก ทำให้ผู้อ่านหรือนักวิจารณ์จำนวนไม่น้อยหลงผิดไปว่าความจริงในนวนิยายคือความจริงในประวัติศาสตร์ แต่สำหรับนวนิยายเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ถือได้ว่าผู้ประพันธ์ไม่ได้ยึดเอาเหตุการณ์ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือพระราชพงศาวดารมาเป็นข้อมูลหลักในการเขียน ผู้ประพันธ์เพียงใช้จินตนาการสร้างเรื่องราวพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามีอยู่จริงในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ สร้างเป็นนวนิยายขึ้นมาเพื่อนำเสนอปรัชญาประวัติศาสตร์ของผู้แต่งเอง
คุณค่าสำคัญของนวนิยายเรื่องนี้จึงมิใช่อยู่ที่การนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในบันทึกหรือพระราชพงศาวดาร แต่เป็นนวนิยายที่เน้นนำเสนอความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครจดบันทึกเอาไว้แม้แต่น้อย ดังที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงไว้ในตอนหนึ่งของคำนำว่า
“เมื่อเดินย้อนรอยถอยหลังไปในแผ่นดินของประวัติศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ว่างเปล่า เลาะเล็มไปตามต้นไม้ใหญ่ที่ได้รับการบรรจุอยู่ในประวัติศาสตร์แน่นอนแล้ว บนอาณาบริเวณที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีการกล่าวถึงแม้สักวรรคหนึ่งหรือบรรทัดหนึ่งนั้น มีพืชคลุมดินอีกมากหลายที่ดูเหมือนไม่มีความสำคัญ มันขึ้นอยู่และเหี่ยวแห้งตายไปตามกาลเวลา แต่ก็มีการเกิดขึ้นใหม่เข้ามาทดแทนอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ขาดสาย ผมพยายามขุดหารากเหง้าของสิ่งเหล่านี้ด้วยจินตนาการที่มีอย่างจำกัด
ท่ามกลางป่าละเมาะที่มีไม้แก่นที่แกร่งกล้าของบางระจัน คงจะมีต้นหญ้าหรือต้อยติ่งขึ้นอยู่บ้าง
ผมไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ในประวัติศาสตร์
และผมเชื่อว่า ผมไม่ได้ปลอมประวัติศาสตร์” ๑

การอ่านนวนิยายเรื่องนี้จึงมิใช่เป็นการอ่านเพื่อค้นหาหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่น่าจะเป็นการอ่านเพื่อเข้าใจความจริงของประวัติศาสตร์มากกว่า และเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยหากจะได้ตีความนวนิยายเรื่องนี้ในแง่ของ “ความจริง” ในประวัติศาสตร์ที่กว้างไกลกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ครั้งเสียกรุงครั้งที่ ๒

๒. เสนีย์ เสาวพงศ์ : นักเขียนสามัญชน ๒

ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ นักเรียนหนุ่มผู้เพิ่งจบชั้นมัธยม ๘ จากโรงเรียนวัดบพิตรภิมุขคนหนึ่งได้เริ่มเข้าสู่โลกแห่งวรรณกรรมที่หนังสือพิมพ์ศรีกรุงและสยามราษฎร์ เพียงไม่นานหลังจากนั้นนาม บุญส่ง  บำรุงพงศ์ อันเป็นชื่อของนักเรียนหนุ่มผู้นั้นก็ปรากฏในหนัาหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวในฐานะของนักข่าวและนักเขียน พร้อมๆ กับที่ไปปรากฏอยู่ในทำเนียบนักศึกษาวิชากฎหมายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ประมาณกลางปี พ.ศ.๒๔๘๔ ปรากฏชื่อนักเขียนเรื่องสั้นนาม“เสนีย์ เสาวพงศ์” ในหนังสือพิมพ์ “สุวรรณภูมิ” เป็นครั้งแรก และเริ่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่านอีกไม่นานต่อมา และเริ่มฉายแววของนักเขียนผู้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเมื่อเรื่องสั้น “อาเคเชียปลายฤดูร้อน” ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิในปีเดียวกัน
เสนีย์ เสาวพงศ์ ก็คือบุญส่ง บำรุงพงศ์นั่นเอง และก็คือศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ ในยุคที่มีการออกระเบียบวัฒนธรรมการตั้งชื่อบุคคลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ถือว่าชื่อ “บุญส่ง” เป็นชื่อสำหรับผู้หญิง
พร้อมๆ กับการเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง บุญส่ง บำรุงพงศ์ ได้ทำงานหนังสือพิมพ์ และรับราชการอยู่ในกระทรวงเศรษฐการระยะหนึ่ง แต่ก็ต้องลาออกจากราชการเมื่อเขาสามารถสอบได้ทุนฮัมโบล์ไปเรียนต่อที่เยอรมนี จะอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปเยอรมนีตามเป้าหมายได้ เนื่องจากเกิดสงครามขึ้นในยุโรปตะวันตกเสียก่อน เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็คืนสู่อาชีพนักหนังสิอพิมพ์และเข้ารับราชการในกระทรวงต่างประเทศในเวลาต่อมา และรับราชการอยู่ในกระทรวงต่างประเทศจนกระทั่งเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ.๒๕๒๑ จึงกลับเข้าสู่วงการหนังสือพิมพ์อีกครั้ง
ในเส้นทางของชีวิตราชการ ศักดิ์ชัย  บำรุงพงศ์ ได้มีโอกาสไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานทูตไทยประจำประเทศต่างๆ โดยเริ่มต้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่สถานทูตและมีความเจริญก้าวหน้าตามลำดับจนได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศต่าง ๆ หลายต่อหลายประเทศ ในด้านของความเป็น “นักเขียน” ทำให้ “เสนีย์  เสาวพงศ์” ได้รับประสบการณ์มากมากมายและสามารถนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในงานประพันธ์และงานแปลวรรณกรรมต่างประเทศที่ปรากฏต่อสาธารณชนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ชัยชนะของคนแพ้ (๒๔๘๖) ฟ้าแมนจู ไม่มีข่าวจากโตเกียว (๒๔๘๘) ชีวิตบนความตาย (๒๔๘๙) งานแปล วาระสุดท้ายของเซวัสโตโปล (๒๔๙๔) ความรักของวัลยา (๒๔๙๕) และนวนิยายเรื่องเยี่ยมที่สุดของเขา คือ ปีศาจ (๒๔๙๗)
การเดินทางไปประจำอยู่ที่สถานทูตไทยในประเทศอาร์เจนตินาในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๙–๒๕๐๓ เป็นช่วงเวลาที่เสนีย์ เสาวพงศ์เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอเมริกาใต้มาใช้ในการเขียนผลงานนวนิยายต่างแดนเรื่องเยี่ยมอย่าง ไฟเย็น (๒๕๐๔) และ บัวบานในอะมาซอน (๒๕๐๕) และเรื่องสั้นอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากนั้นผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ ก็ขาดหายไปเป็นช่วงระยะเวลาอันยาวนาน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะภาระกิจที่เพิ่มขึ้นจากการที่มีตำแหน่งสูงขึ้น จนกระทั่งเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ.๒๕๒๑ จึงกลับเข้าสู่วงการเขียนอีกครั้งด้วยนวนิยาย คนดีศรีอยุธยา และ ใต้ดาวมฤตยู รวมทั้งเรื่องสั้นและบทความอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมๆ กับการดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาบริษัทมติชน จำกัด อันเป็นการปฏิบัติงานในช่วงปลายของชีวิตที่สงบสุขอันเนื่องจากเป็นงานที่รักมาตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว
สำหรับนวนิยายเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” เป็นเรื่องเขียนขึ้นภายหลังเกษียณอายุแล้ว โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุของเสนีย์ เสาวพงศ์ ก็คือเอกอัครราชทูตไหยประจำกรุงร่างกุ้ง ประเทศสหภาพพม่า ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่ง(ที่นอกเหนือจากหนังสือประวัติศาสตร์)ที่นำมาแต่งนวนิยายเรื่องนี้ก็คือข้อมูลที่ท่านได้รับรู้จากคำบอกเล่าขณะดำรงตำแหน่งอยู่ในพม่านี้เอง ดังนั้นแง่มุมบางแง่มุมของคนดีศรีอยุธยาจึงน่าจะแตกต่างออกไปจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องอื่น ๆ พอสมควร
นอกเหนือจากงานประพันธ์นวนิยายและเรื่องสั้นแล้ว เสนีย์ เสาวพงศ์ ยังเขียนงานประเภทอื่นอีกไม่น้อย ทั้งในนามปากกาเสนีย์ เสาวพงศ์ และนามปากกาอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นงานเขียนบทความและบทวิจารณ์วรรณกรรม รวมทั้งบทความเชิงวิชาการทางด้านการศึกษาวรรณกรรมอีกหลายชิ้น ที่รู้จักกันดีก็มี อัตถนิยมกับจินตนิยม(๒๔๙๕) และวรรณกรรมแนวอัตถนิยม (๒๕๒๒) ซึ่งเป็นบทความที่ว่าด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์และการวิจารณ์งานวรรณกรรมเพื่อชีวิต

๓. วิเคราะห์องค์ประกอบ “คนดีศรีอยุธยา”

๓.๑ เนื้อเรื่องย่อ
โต เล็ก และน้อยเดินทางจากอยุธยาลงใต้ถูกคนของนายทองขาวจับได้ รู้สึกถูกชะตากับนายทองขาวคิดจะอาศัยอยู่ด้วยแต่ติดที่ถูกกีดกันจากหมืนเพ็ชรที่ตั้งตนเป็นอาจารย์สอนเพลงดาบกีดกันจึงเดินทางต่อ ทั้งสามคนได้ช่วยเหลือพะยอมที่หนีพวกโจรมาและพากันไปพักอยู่กับยายเจิม เริ่มชักชวนผู้คนและส้องสุมชาวบ้านฝึกวิชาต่อสู้เพื่อต่อต้านพม่าขึ้นเป็นแห่งแรก หลักจากนั้นโตและเล็กก็แยกตัวเดินทางต่อไป เล็กเดินทางไปถึงบ้านนางพลอยและถูกจับตัวไปยังหมู่บ้านของลำพู โพน้องชายลำพูช่วยเล็กออกมาได้และพากันไปช่วยลำพูออกจากค่ายพม่า ขณะเดินทางก็พบลำพูที่สามารถหนีออกจากค่ายพม่าได้โดยความช่วยเหลือของทหารมอญคนหนึ่ง จากนั้นทั้งเล็ก ลำพู และโพ จึงไปอาศัยอยู่กับนางพลอยเริ่มชักชวนผู้คนตั้งเป็นกองกำลังขึ้นมาเหมือนกันที่บ้านยายเจิม
ส่วนโต เมื่อแยกทางกับน้องทั้งสองก็ได้พบกับคนของนายทองขาวทราบข่าวชุมนุมนายสังข์จะยกมาปล้นนายทองขาวจึงรีบเดินทางไปยังบ้านนายทองขาววางแผนช่วยเหลือ และสามารถที่จะป้องกันขับไล่นายสังข์และพวกซึ่งมีหมื่นเพ็ชรที่เป็นอาจารย์อยู่ในบ้านของนายทองขาวร่วมอยู่ด้วย ด้วยความช่วยเหลือของน้อยและพวก โตจึงอาศัยอยู่ด้วยกับนายทองขาวชักชวนผู้คนเข้าร่วมฝึกวิชาการต่อสู้กลายเป็นชุมนุมขึ้นมาอีกชุมนุมหนึ่ง พอดีเล็กกับพวกมาถึงพร้อมกับเสบียงอาหารที่ปล้นได้จากเรือลำเลียงของพม่า ทั้งสามชุมนุมจึงร่วมกันวางแผนสร้างกองกำลังที่เข้มแข็งและคอยดักปล้นเรือพม่าที่ผ่านไปมาในแม่น้ำ เพื่อรอการยกทัพมากอบกู้อิสรภาพของพระยาตากซึ่งขณะนั้นได้ยกมาจากจันทบุรีแล้ว  จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอยู่ในที่มั่นของตน
ต่อมาน้อยถูกจับตัวไปขังไว้ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่บางกอก ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากเชลยศึกพม่าในป้อมจึงหลบหนีออกมาได้ ได้พบกับแก้วซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อน ขณะนั้นแก้วเป็นทหารอยู่ในกองทัพหน้าของพระยาตาก ทำให้น้อยสามารถติดต่อกับฝ่ายพระยาตากและแจ้งข่าวการส้องสุมผู้คนไว้รอคอยการยกทัพมากอบก็ชาติของพระยาตาก เมื่อกองกำลังของพระยาตากสามารถตีป้อมวิไชยประสิทธิ์แตกก็ยกทัพขึ้นเหนือมุ่งตีค่ายโพธิ์สามต้น แม้กองกำลังของโต น้อย และเล็ก จะถูกกลั่นแกล้งจากหมื่นหาญที่รายงานต่อแม่ทัพของพระยาตากว่าเป็นพวกโจร แต่แก้วก็สามารถช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ทำให้กองกำลังของโต น้อย และเล็กได้เข้าร่วมกับกองทัพพระยาตาก เป็นกองหน้าเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้นจนแตก จากนั้นบรรดาชาวบ้านในกองกำลังของสามพี่น้องก็ลาจากกองทัพกลับไปอยู่ในชนบททำมาหากินตามอาชีพดั้งเดิมของตน โดยไม่คิดแม้แต่จะรอพบแม่ทัพเพื่อรับความดีความชอบใดๆ ทั้งสิ้น

๓.๒ โครงเรื่อง(plot)
โครงเรื่อง ได้แก่โครงสร้างของบทบาทหรือนาฏการ (actions) ซึ่งจัดระเบียบไว้ให้บรรลุผลทางด้านอารมณ์สะเทือนใจและด้านศิลปะ ๓ เป็นเค้าโครงของพฤติกรรมในนวนิยายซึ่งผู้ประพันธ์กำหนดขึ้นเป็น
“…เหตุการณ์ชุดหนึ่งหรือความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาในเรื่อง ซึ่งมีความผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความสำคัญต่อเรื่อง เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินติดต่อกันตามลำดับตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบ” ๔
โครงเรื่องของนวนิยายส่วนใหญ่มักประกอบด้วยองค์ประกอบสองส่วน คือ ความต้องการหรือความปรารถนาของตัวละครอย่างหนึ่ง กับปัญหาหรืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ตัวละครบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่ง  ระหว่างโครงเรื่องกับตัวละครจึงเป็นสิ่งสัมพันธ์กันดังที่ Henry James กล่าวไว้ว่า “ตัวละครคืออะไรเล่าถ้าเครื่องกำหนดเหตุการณ์? เหตุการณ์คืออะไรเล่าถ้าไม่ใช่การแสดงให้เห็นตัวละคร?” ๖
โครงเรื่องจึงเป็นตัวที่บ่งบอกให้ผู้อ่านสามารถเห็นได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวละคร และทำไมที่เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วตัวละครมีพฤติกรรมเช่นไร และพฤติกรรมนั้นมีผลต่อโครงเรื่องหรือการดำเนินเรื่องให้เรื่องเป็นไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
ลักษณะของโครงเรื่องของนวนิยายโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะตามพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง คือ โครงเรื่องแบบเก่าและโครงเรื่องแบบใหม่ ๗
๑. โครงเรื่องแบบเก่า เป็นโครงเรื่องที่เน้นความสำคัญของเหตุการณ์และการลำดับเหตุการณ์โดยมีตัวละครเอกเป็นผู้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์และปมปัญหาที่เป็นข้อขัดแย้ง และพัฒนาไปสู่จุดวิกฤต (Climax) ซึ่งตัวละครจะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นเหตุการณ์ก็จะคลี่คลายไปสู่จุดจบ โครงเรื่องแบบเก่านี้มักประกอบด้วยสาระสำคัญ 4 ส่วน คือ
๑.๑ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ
๑.๒ ตัวละคร คือผู้ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ มีแรงจูงใจในการกระทำเพื่อต่อสู้ดิ้นรนในสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
๑.๓ พฤติกรรมหรือการกระทำของตัวละครที่เกิดจากแรงจูงใจ
๑.๔ อุปสรรคหรือข้อขัดแย้ง ที่เกิดจากสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ตัวละครต้องแก้ไขและต่อสู้อุปสรรคดังกล่าว ความขัดแย้งนี้อาจแบ่งเป็น ความขัดแย้งภายในที่เกิดจากภายในจิตใจของตัวละคร ความขัดแย้งภายนอกที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครกับบุคคลอื่น หรือระหว่างตัวละครกับสภาพแวดล้อม และความขัดแย้งหลักอันเป็นความขัดแย้งที่เปน็ หลักสำคัญของเรื่อง
๒. โครงเรื่องแบบใหม่ เป็นโครงเรื่องที่ไม่เน้นความสำคัญและความสัมพันธ์ของลำดับเหตุการณ์ แต่เน้นที่พฤติกรรมและสภาพความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเป็นสำคัญ โครงเรื่องแบบนี้บางครั้งเรียกว่า โครงเรื่องแบบเปิด(Open Plot) เพราะเป็นโครงเรื่องที่ไม่มีข้อยุติตายตัวเหมือนโครงเรื่องแบบเก่า  นวนิยายเรื่องหนึ่งๆ จะประกอบไปด้วยโครงเรื่องมากกว่า 1 โครงเรื่อง คือ โครงเรื่องหลัก (Main Plot) หรือโครงเรื่องใหญ่ และโครงเรื่องย่อย(Sub Plot) อีกจำนวนหนึ่ง โครงเรื่องหลักคือเค้าโครงของเรื่องทั้งหมดที่ผู้ประพันธ์ต้องการให้เป็นไป มีการผูกปมของเรื่องการเกิดความซับซ้อนนำไปสู่จุดวิกฤตหรือ Climax และคลี่คลายเงื่อนปมเหล่านั้นในตอนจบ ส่วนโครงเรื่องย่อยจะเป็นโครงเรื่องที่แทรกอยู่ในโครงเรื่องใหญ่เพื่อให้เกิดความซับซ้อน เพิ่มความสนุกสนานชวนติดตามให้แก่เนื้อเรื่อง ตลอดจนสร้างความชัดเจนให้กับโครงเรื่องใหญ่ด้วย
โครงเรื่องหลักของ “คนดีศรีอยุธยา” เป็นเรื่องราวของการรวมตัวของชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับพม่าภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ โดยมีตัวละครสำคัญ ๓ คน คือ โต เล็ก และน้อย เป็นแกนหลักในการรวมตัวและนำกำลังชาวบ้านเข้าร่วมกับกำลังกองทัพของพระยาตากกู้อิสรภาพจากพม่าได้สำเร็จ แล้วนำกองกำลังชาวบ้านเหล่านั้นกลับบ้านนอกประกอบอาชีพเดิมภายหลังชนะศึกโดยไม่เรียกร้องความดีความชอบใดๆ ทั้งสิ้น
เสนีย์ เสาวพงศ์ เปิดเรื่องโดยการให้ชายหนุ่มทั้งสามเดินทางออกจากอยุธยาไปถึงบ้านของนายทองขาวด้วยหวังจะใช้เป็นที่ส้องสุมผู้คนต่อต้านพม่า แต่เกิดความขัดแย้งกับคนของนายทองขาวเสียก่อน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่ส้องสุมคนใหม่ จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปโดยให้ทั้งแยกย้ายกันส้องสุมและฝึกฝนวิชาการต่อสู้ให้กับชาวบ้านจนกลายเป็นกองกำลังเล็ก ๓ กลุ่มคอยดักปล้นหน่วยเสบียงและกองกำลังพม่า ตลอดจนคนไทยที่ยอมเป็นขี้ข้าพม่า จนเมื่อกองกำลังเพิ่มมากขึ้นก็เกิดความขัดแย้งกับคนไทยด้วยกันเองที่มุ่งหวังส้องสุมผู้คนคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มทั้งสามก็สามารถนำกองกำลังชาวบ้านของตนเข้าร่วมกับกองทัพพระยาตากอันเป็นจุดสำคัญหรือจุดสุดยอดของเรื่อง และจบเรื่องลงด้วยการที่กองทัพพระยาสามารถยึดค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้นได้สำเร็จ ชายหนุ่มทั้งสามพร้อมชาวบ้านจึงออกจากกองทัพกลับไปดำรงชีวิตเป็นสามัญชนดังเดิม
โครงเรื่องย่อยเป็นโครงเรื่องที่เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกองกำลังคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าที่นำไปสู้การต่อสู้ฆ่าฟันกันเองระหว่างกลุ่มของชาวหนุ่มทั้งสามและนายทองขาวกับกลุ่มของหมื่นเพ็ชร์กับนายสังข์ที่พยายามหว่านล้อมคนของนายทองขาวไปเข้าด้วยกับก๊กเจ้าพิมายด้วยหวังความดีความชอบและตำแหน่งสำคัญ โครงเรื่องที่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของชายหนุ่มทั้งสามกับกองกำลังของหมื่นหาญที่เห็นประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง มุ่งหวังเอากองกำลังชาวบ้านเป็นฐานเพื่อให้ตนสามารถเป็นใหญ่ได้ เมื่อไม่สามารถชักจูงกลุ่มชาวบ้านได้ก็อาฆาตแค้นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนใช้กำลังทหารมาปราบปรามฆ่าฟันคนไทยด้วยกันเอง
๓.๓ แนวคิด(Theme)
แนวคิดหรือแก่นเรื่องได้แก่ความคิดหรือจุดสำคัญของเรื่อง อันเป็นสาระหรือสัจจะที่ผู้ประพันธ์หยั่งเห็นเชื่อถือหรือยึดถือ และประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่าน ๘ ซึ่งปรากฏอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายเรื่อง เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน ๙ แนวคิดของเรื่องจะมีลักษณะเป็นนามธรรมซึ่งสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้โดยการเสนอผ่านตัวละคร การกระทำ และภาพลักษณ์ในงานนั้นๆ ๑๐
แนวคิดในงานบันเทิงคดีทั่วๆ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๔ ชนิด คือ
๑. แนวคิดแสดงทัศนะ คือ แนวคิดที่ผู้แต่งมุ่งเสนอหรือแสดงทัศนะความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น แนวคิดแสดงทัศนะต่อค่านิยมในสังคม แนวคิดแสดงทัศนะต่อคุณธรรม แนวคิดแสดงทัศนะต่อสภาพความเป็นไปในสังคมและเหตุการณ์บ้านเมือง เป็นต้น
๒. แนวคิดแสดงอารมณ์ คือ แนวคิดที่มุ่งแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เช่น ความรู้สึกว้าเหว่ ความเหงา ความรัก ความแค้น ความกลัว เป็นต้น แนวคิดที่มุ่งแสดงอารมณ์ความรู้สึก เป็นแนวคิดที่ผู้แต่งมุ่งที่จะให้ผู้อ่านได้รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร หรืออาจต้องการให้ผู้อ่านทั้งรับรู้และมีส่วนร่วมรู้สึก คือ เกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามตัวละครในเรื่องไปด้วย
๓. แนวคิดแสดงพฤติกรรม คือ แนวคิดที่ผู้แต่งมุ่งเสนอพฤติกรรมของตัวละครและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง พฤติกรรมของตัวละครที่ผู้แต่งมุ่งให้เป็นแก่นเรื่องอาจคลี่คลายมาจาก ๑) ทัศนะต่อค่านิยมหรือคุณธรรมบางประการ และ ๒) ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์
๔. แนวคิดแสดงสภาพและเหตุการณ์ ได้แก่แนวคิดที่ผู้แต่งมุ่งแสดงสภาพบางอย่าง หรือเหตุการณ์บางตอนบางช่วงชีวิตของตัวละคร เช่น แนวคิดเกี่ยวกับความยากจนของชาวชนบท แนวคิดเกี่ยวกับสภาพของผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคม เป็นต้น
ในนวนิยายเรื่องหนึ่งๆ จะมีแนวคิดสองส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่เป็นแนวคิดหลักอันปรากฏอยู่หรือแสดงให้เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งผู้อ่านจะสามารถรับรู้หรือเข้าใจได้ก็ต่อเมื่ออ่านเรื่องจนจบ และแนวคิดย่อยซึ่งแทรกอยู่ในตอนใดตอนหนึ่งของเรื่อง ในนวนิยายทั่วๆ ไป แนวคิดย่อยจะเป็นแนวคิดที่มุ่งสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแนวคิดหลักให้เด่นชัดขึ้น
แนวคิดหลักของเรื่องคนดีศรีอยุธยา ผู้ประพันธ์ต้องการเสนอแนวความคิดที่ว่า บุคคลผู้สร้างประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็คือสามัญชนอันเป็นกลุ่มคนที่ประวัติศาสตร์ไม่เคยบันทึกวีรกรรมของพวกเขาไว้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หรือผู้ประกอบวีรกรรมที่ไม่เคยเรียกร้องผลประโยชน์หรือมุ่งหวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่ผู้มีตำแหน่งฐานะและบุคคลชั้นสูงนั้นมักทำทุกอย่างเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ดังที่ผู้ประพันธ์ได้สรุปด้วยคำพูดของนายกองใหญ่ไว้ในตอนท้ายของเรื่องว่า
“แก้วเอ๋ย” นายกองใหญ่พูดเสียงพร่าด้วยความตื้นตันใจ “ชาวบ้านของเรานั้นดีแสนดีน่ารักน่านับถือ เขาร่วมทำงานใหญ่ขนาดนี้โดยไม่เรียกร้องอะไรเลย หรือถึงจะให้ก็ยังไม่ยอมรับมีแต่เสียสละ เสียสละ ส่วนคนที่ทำราชการ เอ็งอยู่ต่อไปจะได้เห็นเอง ใช้ให้ทำอะไรหน่อยก็เรียกร้องขอของแลกเปลี่ยน จะต้องได้โน่นจะต้องเป็นนี้ถึงจะทำ บางคนทำอะไรนิดหน่อยก็เรียกร้องทวงบุญคุณเสียล้นเหลือ คนอย่างนี้มันมีจริงๆ ถึงจะเป็นพวกส่วนหน่อยก็เถอะ…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๕๓๘

แนวคิดย่อยมีหลายแนวคิด ได้แก่
๑. แนวคิดเกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาว เน้นให้เห็นว่าความรักเป็นเรื่องความเสียสละ ตัวละครสำคัญอย่างโต เล็ก และน้อย ถึงแม้จะมีความรัก แต่ความรักก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานกู้ชาติ นอกจากจะไม่เป็นอุปสรรคแล้วยังเป็นตัวสนับสนุนให้กำลังใจ และส่งเสริมซึ่งกันและกันให้ร่วมมือกันในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
๒. แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของสตรี ผู้แต่งแสดงให้เห็นว่า สตรีก็มีความสามารถที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองได้เช่นเดียวกับบุรุษเพศ ดังที่ผู้ประพันธ์ได้สื่อให้เห็นในบทเพลง “แม่ศรีเมือง” ที่น้อยขับร้อง(และ
ผู้ประพันธ์นำมาเป็นคำประพันธ์เปิดเรื่อง) ตอนหนึ่งว่า
โอ สาวเอยสำอาง
เจ้าเอวบางลู่ลม
งามน่าชมพลิ้วกาย
ร่ายรำถวายชัยชนะ
ส่ำศัตรูจะพังทลาย
แม่ศรีเมืองเยื้องกราย
สองดาบสะพายพร้อมเพรียง
แซ่ซ้องเสียงอวยชัย
ยามเจ้าไปยุทธนา
เจ้าแก้วตาของทวยชน
หรือการที่ให้พะยอม ทับทิม ลำพู จันทร์ ฯลฯ อยู่ในกองหน้าเข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้น ก็เป็นการเน้นแนวคิดนี้ให้เด่นชัดยิ่ง
๓. แนวคิดเกี่ยวกับการรวมกลุ่มที่เน้นให้เกิดความสามัคคี โดยให้แต่ละคนมีบทบาทสำคัญตามความรู้ความสามารถและความอาวุโสมากกว่าการบังคับบัญชา โดยโต เล็ก น้อย จะนำเอาความคิดนี้มาใช้ในการรวบรวมคนกอบกู้ชาติ ทำให้แต่ละคนได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่และไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ เช่นกลุ่มนายสังข์และหมื่นเพ็ชร์ที่ต่างก็มุ่งจะเป็นใหญ่
๔. แนวคิดเกี่ยวกับการใช้สติปัญญามากกว่าการใช้กำลังและอาวุธไม่ว่าจะเป็นการใช้ปัญญาในการปล้นชิงเสบียงอาหารจากทหารพม่า การใช้ปัญญาเอาชนะใจคนไทยที่ไม่เห็นด้วยหรือขัดแย้งกันเอง ดังคำพูดของโตที่ว่า
“ก็อย่างที่ข้าเคยบอก อาจารย์สอนมาว่า อาวุธนั้นให้ใช้เป็นสิ่งสุดท้าย เอาชนะกันด้วยปัญญาก่อน จนเมื่อไม่มีทางแล้วจึงใช้ อาวุธเป็นเครื่องมือของปัญญา แต่ปัญญาจะต้องถืออาวุธอยู่ด้วยตราบใดที่ฝ่ายอธรรมยังถืออาวุธอยู่”
(เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๒๑๒.)

๓.๔ ฉากและบรรยากาศ (Setting and Atmosphere)
ฉากหมายถึงสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง ซึ่งรวมไปถึงเวลา บรรยากาศ หรือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่ตัวละครใช้แสดงนาฏการ ฉากไม่เป็นเพียงแต่สิ่งแวดล้อมภายนอกของตัวละครเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์และมีความหมายต่อภาวะจิตใจของตัวละครอีกด้วย องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดฉาก ได้แก่
1. สภาพภูมิระเทศ สถานที่ การสร้างฉากบนเวทีละคร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้รู้ว่าสถานที่ที่เกิดอาการของเรื่องนั้นเกิดขึ้นที่ใด
2. สภาวะอาชีพการงานหรือชีวิตประจำวันของตัวละครที่เป็นอยู่
3. เวลาหรือยุคสมัยที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง
4. สภาพแวดล้อมเงื่อนไขสถานการณ์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ศาสนา ศีลธรรมจรรยา สภาพจิตหรือภาวะอารมณ์ของตัวละคร ๑๓
ฉากในเรื่องจะประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญที่เป็นหมู่บ้านริมลำน้ำที่เคยเป็นเส้นทางสัญจรสำคัญของผู้คน แต่ภายหลังเสียงกรุงลำน้ำสายนี้ก็เงียบเหงา เรือที่แล่นผ่านไปมาก็จะมีแต่เรือของทหารพม่าหรือคนไทยที่ยอมเป็นขี้ข้าของพม่าและเรือของพวกโจรเป็นหลัก ในขณะที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปยากนักที่จะใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมา ด้วยกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นทั้งจากพม่าและพวกโจร บ้านเรือนที่เคยตั้งริมน้ำในอดีตก็รื้อถอนโยกย้ายลึกเข้าไปในป่าให้ห่างจากลำน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าวให้รายละเอียดในตอนหนึ่งว่า
“สามหนุ่มพเนจรพายเรือกันมา ๓ วัน ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ มันเพียงจดจำทิศทางของลำคลอง บ้านของชาวบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปจากฝั่งคลอง บ้านร้างริมคลองสามสี่แห่งที่เจ้าของทิ้งร้างไปนานจนหญ้าขึ้นรกรุงรัง มันพายเรือเลียบฝั่งตะวันตกเพื่อหลบแสงแดดบ่าย หญ้าขนและเฟือยเลื้อยทอดจากตลิ่งลงมาในคลอง นกเล็กๆ หลายตัวบินพรูขึ้นเมื่อเรือเฉียดเข้าไปใกล้”
(เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๑๗.)

หรือในอีกตอนหนึ่งที่แสดงถึงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของหมู่บ้านอันเป็นผลมาจากสงคราม ว่า
“มันเดินกันมาเป็นระยะทางไกลโขจากริมฝั่งคลอง แต่ยังมองไม่เห็นว่าจะพบบ้านคนสักแห่ง…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๒๗.
ในขณะที่สภาพความเป็นอยู่ความเป็นอยู่ของคนก็แสนเข็ญ นายทองขาวนั้นแม้จะมีฐานะดี แต่เมื่ออยู่ในภาวะสงครามก็ต้องโยกย้ายบ้านเรือนไปหลบซ่อนอยู่ในที่ลับหูลับตา ดังที่ผู้ประพันธ์บรรยายฉากของบ้านนายทองขาวไว้ว่า
“ซ่อนอยู่หลังพงไผ่ มีเรือนฝากระดานหลังใหญ่ ๓ หลัง ใต้ถุนสูง เรียงรายต่อด้วยเรือนขนาดย่อม กับหลังคามุงจากที่เป็นยุ้งข้าว โรงมุงจากโปร่งไม่มีฝากั้นทั้งสี่ด้าน เรียงรายกันเป็นวงกลม ตรงกลางเป็นลานกว้าง ผิวหน้าดินปรับเรียบ มีต้นไม้อยู่หลายต้น”
(เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕.หน้า ๘.)
นอกจากนี้ก็ยังมีฉากที่กล่าวถึงในเรื่องอีกอย่างน้อยสองฉาก คือ ฉากในป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่น้อยถูกจับไปขังไว้ และฉากค่ายโพธิ์สามต้นในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งผู้ประพันธ์พยายามกล่าวถึงเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวละครในเรื่อง เช่น ฉากป้อมวิไชยประสิทธิ์ก็จะเน้นในคุกและบางส่วนที่น้อยได้สัมผัสฉากค่ายโพธิ์สามต้นก็จะเน้นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญที่บุกเข้ายึดค่าย ในฉากการบุกเข้ายึดค่ายของกองหน้าทัพพระยาตากที่ประกอบไปด้วยกลุ่มชาวบ้าน ผู้ประพันธ์ได้พยายามพรรณนาให้เห็นภาพของสถานที่ บรรยากาศ และนาฏการที่เกิดขึ้นอย่างสัมพันธ์กันตอนหนึ่ง ว่า
“เดือนค่อนดวงจมหายไปที่ริมขอบฟ้า
เมื่อหมดแสงเดือน ดาวก็ดูจะมีแสงเข้มขึ้น แต่ความสว่างยังไมพอจะชดเชยกับแสงเดือนที่หายไป ในความมืดที่ปกคลุมทั่วบริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเงียบสงบในยามดึกที่กำดัด แต่ในความมืดนั้นมีการเคลี่อนไหวที่มองไม่เห็นด้วยสายตาในระยะไกลเกินสามสี่วา คนเหล่านั้นกำลังหิ้วบันไดไม้ไผ่ สองคนหิ้วทางหัว สองคนหิ้วตอนกลาง และอีกสองคนหิ้วท้าย เดินไปข้างหน้าเป็นแถวเรียงหนึ่ง บุคคลเหล่านี้รู้ภูมิประเทศเป็นอย่างดี เขาลอดผ่านช่องของคูกว้างราวสองวาที่ขุดขึ้นและพรางไว้ด้วยหญ้า ตูนี้ยาวขนานไปกับค่าย แต่ก็มีอยู่เพียงด้านเดียว
เพราะฝ่ายข้างในค่ายมีเวลาเพียงไม่กี่วันในการตระเตรียม ในคูนั้นปักขวากไว้ตลอด แต่การกระทำนี้ได้อยู่ในการสังเกตของชาวบ้านที่แอบซุ่มเฝ้าดูอยู่ พวกเขาจึงเดินผ่านข้ามไปโดยไม่มีใครพลัดตกลงไป
….
คนที่ตามมาข้างหลังยังเคลื่อนเข้ามาสมทบ อีกส่วนหนึ่งขยายยาวออกไปทางปีก แมลงเล็กๆ ที่ทำเสียงอยู่ในพงหญ้าหยุดเงียบเมื่อมันรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นใกล้ แต่ที่อยู่ห่างออกไปยังคงทำเสียงในจังหวะที่ซ้ำซาก
สะเก็ดดาวจากท้องฟ้าทำความสว่างวาบเป็นทางยาวเพียงอึดใจเดียว ความมืดก็ประสานกันเข้าอย่างเก่า”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๕๐๒–๕๐๓.

ฉากนี้เป็นฉากที่ผู้เขียนพยายามสร้างให้เกิดบรรยากาศที่สงบเงียบเหมือนกับการรอคอยอันยาวนานของกองกำลังชาวบ้านที่เตรียมบุกเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น จากความสงบเงียบไร้ความเคลื่อนไหวก็เกิดความเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน รวดเร็ว และรุนแรง ดังในฉากต่อมาว่า
“ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสว่างขึ้นทางด้านใต้ของป้อม แล้วก็มีเสียงทหารลั่นกลองรบ มันดังสะท้อนก้องเข้าไปในอก ไฟลุกฮือขึ้นอย่างรวดเร็ว ในแสงไฟเห็นคนจำนวนมากวิ่งไปวิ่งมาอย่างสลับฟันปลา เรียกความสนใจของฝ่ายที่อยู่ในค่ายให้หันไปทางนั้น เสียงปืนดังมาจากในค่าย”
อีกด้านหนึ่งบันไดถูกยกขึ้น คนที่หิ้วทางหัวยกขึ้นจนสุดมือ คนที่อยู่ช่วงกลางส่งต่อ คนที่อยู่ช่วงท้ายดันขึ้นไป พอได้ที่วางปลายลงกับดิน คนที่อยู่ตอนหัวกระโดดขึ้นไปเป็นคู่แรก บันไดอื่นๆ ก็ยกขึ้นพาดในเวลาใกล้เคียงกัน และคนปีนขึ้นไปอย่างคล้องแคล่ว บางคนกระโจนเข้าไปในค่าย บางคนถูกแทงหรือถูกฟันตกลงมา คนต่อไปหนุนเนื่องขึ้นไปอีกไม่ขาดสาย
…..
ฟ้าสาง ความสว่างกระจ่างแจ้งจนเห็นภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๕๐๕–๕๐๖.

และในฉากสุดท้ายหลังเสร็จสิ้นการรบ ผู้ประพันธ์ก็ใช้ความสามารถในการเลือกใช้คำที่พรรณนาฉากได้สอดคล้องกับความสุขสงบที่จะเกิดขึ้นต่อมาภายหลังการกอบกู้เอกราชของพระยาตากแสดงให้เห็นถึงความหวังและคล้ายจะเป็นการทำนายเหตุการณ์ภายเบื้องหน้าที่แผ่นดินจะได้มีโอกาสสงบร่มเย็นอีกครั้งดังว่า
“เรือ ๑๒ ลำแล่นตามกันมาในแม่น้ำท่ามกลางแสงตะวันรอน บ่ายหน้าลงมาทางใต้ ระลอกที่เกิดจากสายลมวิ่งเข้าปะทะกราบเรือที่สูงกว่าน้ำไม่ถึงคืบ เขาพายกันมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน สองฟากฝั่งที่ลมพัดลอดกิ่งไม้หวีดแว่วเพมือนเพลงที่ระคนกับเสียงขลุ่ยแม่ศรีเมืองเยื้องกราย…
ในฟ้าทุกคนรู้สึกเหมือนมองเห็นสีที่อ่อนนุ่มเหมือนสีรุ้งที่ระบายอยู่แพรวพราย เหลืองแดงชมพูฟ้าเขียวแสด…
ใบหน้าของทุกคนเชิดอย่างทระนง
เรือแล่นลับหายไปกับคุ้งน้ำ
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๕๓๙.

บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ภาวะสงบ พวกชาวบ้านล้วนมองเห็นความสดใสอยู่เบื้องหน้า ภารกิจสำคัญของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว เรือของเขาแล่นลับหายไปกับคุ้งน้ำ มีใครอีกบ้างไหมจะรู้ว่าพวกเขาเป็นใครได้ประกอบวีรกรรมอะไรไว้บ้าง ดูเหมือนพวกเขาได้พาตัวเองให้หายไปกับคุ้งน้ำโดยไม่ไยดีว่าจะมีใครได่รู้เห็นวีรกรรมของเขาแม้แต่น้อย
เพียงฉากนี้เราก็สามารถที่จะเห็นถึงปรัชญาความคิดจากเรื่องได้อย่างชัดเจน แท้จริงแล้วเหล่าสามัญชนเช่นพวกเขา ยินยอมที่จะกระทำการ “ปิดทองหลังพระ” ให้ชื่อเสียงตัวตนของเขาจมหายไปดั่งต้นหญ้าพืชคลุมดินที่เหี่ยวเฉาแห้งตายไปตามกาลเวลาโดยไม่เหลือร่องรอยให้ใครได้พบเห็น ไม่เหลือเรื่องราวไว้ให้ใครจดจาร
๓.๕ บทสนทนา (Dialogue)
บทสนทนา คือคำพูดโต้ตอบระหว่างตัวละครในนวนิยาย เป็นส่วนประกอบที่ทำให้นวนิยายมีลักษณะคล้ายความจริงมากที่สุด ๒๐ บทสนทนาที่ดีต้องง่ายและเหมาะสมกับบุคลิกลักษณะของตัวละคร อีกทั้งควรจะเป็นบทสนทนาที่เหมือนบทสนทนาที่ใช้กันจริงๆ ในสังคมทั่วไป ยกเว้นนวนิยายสมัยใหม่บางประเภทที่ไม่เน้นความสมจริง
ความที่เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อันเป็นเหตุการณ์ไกลตัว นับเป็นความพยายามของผู้ประพันธ์ที่พยายามใช้จินตนาการเกี่ยวกับการพูดหรือบทสนทนาให้ออกมาในรูปของภาษาที่คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับภาษาพูดของชาวบ้านในยุคนั้นมากที่สุด โดยการใช้คำศัพท์เก่าๆ และสำนวนจากวรรณคดีเข้ามาช่วยเสริมทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกได้บรรยากาศ เช่นในบทสนทนาระหว่างโตและน้องๆ กับนายทองขาวและพวก ผู้ประพันธ์ได้สร้างบทสนทนาที่แสดงให้เห็นทั้งฐานะของตัวละครที่แตกต่างกันด้วยวัยและความรู้สึกที่ตัวละครมีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดีมีเมตตาต่อสามพี่น้องของนายทองขาว ความเคารพนับถือที่สามพี่น้องมีต่อนายทองขาว หรือกระทั่งการแสดงความรู้สึกในทางลบที่สามพี่น้องมีต่อหมื่นเพ็ชร์ ดังตัวอย่าง
(นายทองขาวพูดกันโตและพวก)
“กูจะขึ้นไปบนเรือนสักกระเดี๋ยว พวกเอ็งกินข้าวให้อิ่มเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
นายเดินไปยังเรือนใหญ่โดยไม่พูดจากกับอาจารย์
……
“เอ็งเป็นใคร มาแต่ไหน”
“ขอประทาน ข้าได้กราบให้ท่านผู้ใหญ่ทราบหมดแล้ว” เจ้าน้อยตอบ
“ก็ข้ายังไม่รู้นี่หว่า”
“พี่คนนั้นคงจะเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังได เพราะอยู่กับท่านผู้ใหญ่มาตลอด”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๙–๑๐.
หรือในอีกตอนว่า
“จะเอายังไงก็ทำให้เป็นกิจลักษณะ เอ็งเป็นมวยหรือเปล่า” นายถาม
ยังไม่ทันที่เจ้าเล็กจะตอบ อาจารย์สอดขึ้นว่า
“อย่างอื่นก็ยังได้ ดาบเป็นไง”
“ข้าไม่มีฝีมืออะไร ไม่อาจจะหาญสู้ดอก”
“ถ้าเอ็งพอเป็นมวย ลองดูก็ได้ กูจะมีรางวัลให้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ”
“อาจารย์สอนไว้ไม่ให้ใช้วิชาเพื่อสินจ้างรางวัล”
“งั้นก็ลองดูเฉยๆ ถ้าไม่อยากได้รางวัล” อาจารย์รุก
“อาจารย์สอนไว้อีกว่า อย่าใช้วิชาเพื่ออวดตนหรือเพื่อข่มคนอื่น”
“ข่ม” อาจารย์พูดเสียงฉุนเฉียว “เอ็งนึกว่าเอ็งแน่นักหรือ”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๑๒–๑๓.
ในบางตอน ผู้ประพันธ์จะใช้บทสนทนาเป็นตัวบ่งบอกความเป็นมาของตัวละคร เช่น การ
สอดแทรกบทระพันธ์จากวรรณคดีไว้ในคำพูดของน้อย หรือการพูดตามหลักตำราพิชัยสงครามของทั้ง
สามพี่น้อง ก็ย่อมชี้ให้เห็นความเป็นมาของบุคคลทั้งสามได้เป็นอย่างดีว่ามีฐานะมีตระกูลที่ค่อนข้างดี
ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี ซึ่งคำพูดในบทสนทนาเหล่านี้ได้สร้างความยอมรับขึ้นในหมู่ของชาวบ้าน
โดยที่ทั้งสามคนไม่จำเป็นต้องตั้งตนเป็นหัวหน้า เช่น บทสนทนาระหว่างน้อยกับลุงคำที่เกี่ยวกับการหา
วิธีต่อสู้กับอาวุธปืนของทหารพม่าว่า
“ใช่ลุง มันมีสองทาง คือหนีให้พ้นวิธีกระสุนเป็นทางหนึ่งถ้าไม่คิดจะสู้และไม่อยากตาย แต่อย่างที่ว่าทีแรกต้องเอาระยะมันออกไปเสีย คืออย่าไปขวางทางมัน ต้องจู่โจมเข้าประชิดตัวด้วยอาวุธที่เรามีแต่สั้นกว่า คือดาบนี่แหละ ข้าถึงว่า เอาระยะออกไปเสียปืนก็จะเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๘๑.
หรือในคำพูดวิพากษ์วิจารณ์วิธีการรบของชาวบ้านบางระจัน ซึ่งถึงแม้จะกล่าวอย่างยืดยาวแต่ก็ย้ำให้เห็นถึงความเป็นมาของตัวละครได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า
“สำหรับเรื่องการรบของชาวบ้านบางระจัน ที่พวเราถือเอามาเป็นแบบฉบับของความแลก้วกล้าสามารถอย่างที่จะหาไหนเสมอเหมือนได้ยาก มีอะไรหลายอย่างที่สอนเรา ในข้อหนึ่งที่ข้าเห็น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผิดหรือถูก พ่อแม่พี่น้องที่กล้าหาญทั้งหลายใช้วิธีการรบอย่างเดียวกันมาตลอด ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นทีแรกที่รบ ในที่โล่งแจ้งนั้นก็ถูกแล้ว เพราะกำลังข้าศึกน้อยกว่า แต่ตอนสร้างค่ายขึ้นนั้นเริ่มต้นผิดพลาดแล้ว เพราะเท่ากับเป็นการปักหลักอยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนไหว ถึงจะมีการรบนอกค่ายได้ชัยชนะก็เป็นเพราะความแกล้วกล้าอาจหาญของนักรบมากกว่าจะเป็นวิธีรบที่ดี เมื่อชนะแล้วก็เชื่อว่าทำถูกแล้ว พอข้าศึกทุ่มกำลังมากเข้าก็เลยเคลื่อนไหวไม่ได้กลายเป็นเสียเปรียบไป กำลังที่เล็กจะต่อสู้กำลังที่มากกว่าได้ก็ต้องเคลื่อนย้ายหลบหนีโดยอาศัยภูมิประเทศ ในตำราพิไชยสงครามเองก็มีบอกไว้ถึงกลศึกกลหนึ่งที่เรียกว่า ‘เถื่อนกำบัง’ ถึงจะไม่ตรงทีเดียวก็อาจจะเอามาปรับใช้ได้ แล้วเมื่อข้าศึกมาตั้งค่ายประชิดล่อให้เราออกรบ ท่านผู้กล้าหาญเหล่านั้นก็กลับไปเล่นตามวิธีที่ข้าศึกกำหนดให้เล่นต้องการจะหักเอาชัยชนะให้ได้ แทนที่จะคิดว่าเรากำลังน้อยต้องทำการรบอย่างยืดเยื้อ ค่อยๆ บั่นทอนกำลังข้าศึกไทีละน้อย…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๘๑–๘๒.

๓.๖ ตัวละคร (Character)
ตัวละครหมายถึงคนหรือผู้ที่มีบทบาทในการประกอบพฤติกรรมตามเหตุการณ์ในเรื่องหรือผู้ที่ได้รับผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามโครงเรื่อง ๒๕ ตัวละครโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
๑. ตัวละครแบนราบ (flat character) ซึ่งมองเห็นลักษณะนิสัยเพียงด้านเดียว เช่น ดีหรือชั่ว ไม่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ในความเป็นจริง แม้เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปรอย่างใด แต่ลักษณะของตัวละครก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปตามเหตุการณ์
๒. ตัวละครที่มีสองด้าน (round character) ซึ่งมีลักษณะนิสัยซับซ้อนสมจริง มีหลายด้านอยู่ในตัวคละกันไปและเปลี่ยนแปรไปตามเหตุการณ์ สภาพแวดล้อมเงื่อนไขต่างๆ ได้ ๒๖
ตัวละครในเรื่องนี้มีทั้งตัวละครประเภทแบนราบที่มองเห็นลักษณะสำคัญเพียงด้านเดียวโดยไม่มีพัฒนาการที่เห็นได้ชัด และประเภทที่เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการ
ตัวละครสำคัญของเรื่องอาจจะดูไม่เด่นชัดนัก ไม่ว่าจะเป็น โต น้อย เล็ก นายทองขาว พะยอม ลำพู คล้อง หรืออีกหลายๆ คน สำหรับโต น้อย และเล็ก ซึ่งเป็นตัวแสดงพฤติกรรมที่ทำให้เรื่องดำเนินไปได้ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทเด่นในลักษณะของตัวเอกมากนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแนวคิดและปรัชญาของเรื่องที่มุ่งชี้ให้เห็นว่า คนทุกคนในกลุ่มล้วนมีความเท่าเทียมกัน มีบทบาทเสมอกัน เพียงแต่ใช้ความรู้ความสามารถของตนไปในคนละทางกัน ดังนั้นบทบาทของสามพี่น้องจึงยังไม่เด่นชัดเจนพอ อีกทั้งก็ดังดูเป็นตัวละครในอุดมคติที่ทั้งเก่งและดี ยามตกทุกข์ได้ยากก็จะมีคนคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ ทั้งโต น้อย และเล็ก ล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถแต่ไม่เปิดเผยหรือโอ้อวดตัวเอง อันเป็นคุณลักษณะของคนในอุดมคติมากกว่าคนในความเป็นจริง ในขณะที่ตัวละครฝ่ายหญิงก็ดูเหมือนว่าผู้ประพันธ์จะพยายามเน้นให้เห็นความเก่งกล้าสามารถในเชิงสู้รบที่ทัดเทียมผู้ชาย โดยไม่มีการวางพื้นฐานความเป็นมาของตัวละครที่เด่นชัดนัก
ในบรรดาตัวละครทั้งหมด พะยอมนับเป็นตัวละครที่ค่อนข้างจะสร้างได้สมจริงและค่อนไปทางตัวละครประเภทที่มีลักษณะสองด้านหรือ round character ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างเด่นชัดกว่าตัวละครอื่นใด พะยอมเล่าถึงชีวิตของตนเองว่า
“พ่อข้าเป็นนายกองนาของเจ้านายในวัง ทีแรกข้าก็ทำงานทั่วๆ ไปเหมือนอย่างชาวบ้านนั้นแหละ แต่พอโตจะเป็นสาว มีคนในวังมาพูดอะไรหรือยังไงข้าก็จำไม่ได้ พ่อตั้งใจจะเอาข้าไปถวายตัวในวัง ข้าก็เลยไม่ได้ทำอะไร เพราะพ่อไม่ยอมให้ทำ”
“พอข้าโกนจุกแล้ว ก็รอคนในวังจะส่งข่าวมาว่าจะให้เข้าไปถวายตัวเมื่อไร ต่อมาก็มีคุณท้าวอะไรไม่รู้มาสอนให้ข้าหัดรำอยู่สองสามวันแล้วก็กลับไป ข้าก็ไม่ได้รำแรมอะไรเท่าไร อีกนานเกือบปีได้ทั้ง พอถึงพาข้าไปถวายตัวกับเสด็จในกรมในวัง”
“ข้าอยู่ได้สักเดือน ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร ข้าสังเกตว่ามันมีอะไรยุ่งๆ กันอยู่…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๒๕–๒๖.

เมื่อพะยอมหลบหนีพวกโจรไปพบกับโตและพวกและพากันไปอยู่กับยายเจิม บทบทของพะยอมก็จะค่อยๆ พัฒนาไปจากลักษณะที่เป็น “กุลสตรี” ทำงานหนักไม่เป็นกลายเป็นผู้พร้อมที่จะทำงานหนักและฝึกฝนวิชาการต่อสู้จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวละครหญิงที่มีวิชาฝีมือเก่งที่สุดในเรื่องนี้ ในขณะที่ตัวละครหญิงอื่นๆ ผู้ประพันธ์ไม่ได้สร้างภูมิหลังที่ชัดเจนนัก (แม้กระทั่งลำพู) ทำให้เราไม่อาจที่จะเห็นพัฒนาการได้ชัดเหมือนพะยอม ทั้งๆ ที่ผู้ประพันธ์พยายามเน้นตัวละครฝ่ายหญิงค่อนข้างมาก เพื่อเน้นความคิดเกี่ยวกับความสามารถของสตรีที่มีทัดเทียมบุรุษเพศ ในยามศึกสงครามสตรีก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าบุรุษเพศไม่ว่าจะเป็นผู้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หรือการออกสู่แนวหน้าเคียงคู่กับบุรุษ  อย่างไรก็ตาม นับเป็นความพยายามของผู้ประพันธ์ที่พยายามสร้างบทบาทของสตรีในฐานะที่เป็นผู้มีความสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์ไม่น้อยหน้าบุรุษแม้แต่น้อย
นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่ค่อนข้างจะเห็นถึงความจงใจที่จะสร้างสีสรรให้กับเนื้อเรื่องเพื่อให้มีความเป็นนวนิยายมากจนเกินไปก็คือ ความพยายามที่จะสร้างตัวละครชายหญิงให้เป็นคู่ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของตัวละครที่ย่อมมีอารมณ์ความรู้รัก รัก ชอบ โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา ทำให้กลายเป็นความไม่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นคู่ของโตกับคล้องลูกสาวของนายทองขาว น้อยกับพะยอม เล็กกับลำพู หรือแม้กระทั่งแก้วกับออม สิ่งที่แทนที่จะสร้างสีสรรความเป็นนิยายก็กลับกลายเป็นความจงใจที่เกินจริงไปเสียในที่สุด
การสร้างตัวละครที่อาจจะบกพร่องไปบ้างเหล่านี้ อาจจะเนื่องมาจากผู้ประพันธ์ต้องการที่จะเน้นนำเสนอปรัชญาของเรื่องก็เป็นได้ จึงพยายามสร้างบทบาทของตัวละครให้สอดคล้องกับแนวคิดหรือแก่นของเรื่อง จนกลายเป็นความไม่สมจริงในบางส่วนไป
๓.๗ กลวิธีการเล่าเรื่อง(Point of View)
คำว่า Point of View มีผู้แปลได้หลายอย่าง เช่น กลวิธีการเล่าเรื่อง มุมมอง ทัศนะ มุมมองของเรื่องหรือกลวิธีการนำเสนอ หมายถึงวิธีการในการนำเสนอเนื้อเรื่อง ตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์ต่างๆ ของผู้แต่งโดยผ่านสายตาหรือมุมมองของใคร กลวิธีการเล่าเรื่องของนวนิยายหรือบันเทิงคดีทั่วๆ ไป มีหลายวิธีเช่น ๒๘
๑. มุมมองของผู้เล่าเรื่องที่ปรากฏในเรื่องในฐานะตัวละครในเรื่อง ผู้เล่าเรื่องโดยใช้มุมมองนี้จะปรากฏอยู่ในเรื่องในฐานะของตัวละครผู้มีบทบาทอยู่ในเรื่องและมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ผู้เล่าเรื่องจะใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนตัวเองในขณะเล่าเรื่อง มุมมองนี้ตัวผู้เล่าอาจเป็นตัวละครเอกหรือหรือตัวละครรองผู้รู้เหตุการณ์ในเรื่อง
๒. มุมมองที่ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในฐานะที่เป็นตัวละครในเรื่อง ลักษณะของการเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองแบบนี้ ผู้เล่าเรื่องจะไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะที่เป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง มุมมองแบบนี้อาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะย่อย ได้แก่ ลักษณะที่ผู้เล่าเรื่องเป็นผู้รู้แจ้ง ผู้เล่าเรื่องรู้แจ้งเฉพาะตัวเอก และผู้เล่าเป็นแบบภววิสัยไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่องและจำกัดตัวเองลงเป็นเฉพาะผู้นำเสนอภาพการกระทำ การพูดจาสีหน้าท่าทางของตัวละครเท่านั้น
สำหรับมุมมองหรือกลวิธีในการเล่าเรื่องของเสนีย์ เสาวพงศ์นั้นจัดอยู่ในประเภท ผู้เล่าเรื่องเป็นผู้รู้แจ้ง ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องในลักษณะที่ผู้เล่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องที่เล่าและมีอำนาจเต็มที่ในการควบคุมตัวละคร ผู้เล่าเรื่องแบบนี้เป็นผู้รู้แจ้ง สามารถทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวละคร สามารถวิเคราะห์จิตใจของตัวละครได้ด้วย เพียงแต่ผู้ประพันธ์พยายามที่จะใช้กลวิธีการตัดต่อเรื่องโดยการบ่งบอกพฤติกรรมของตัวละครสำคัญที่เป็นแกนกลางของเรื่องทั้งสามคนสลับกับไปมา และมีการเล่าแบบย้อนเหตุการณ์ในบางตอน เช่นในตอนที่น้อยถูกจับตัวไปขังไว้ในคุกที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ก็เปิดตอนด้วยเหตุการณ์ที่น้อยรู้สึกตัวขึ้นมาในคุกว่า
“น้อยลืมตาขึ้นมาในความมืด ต้องกระพริบตาหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าที่ตานั้นไม่ได้มีอะไรปิดอยู่ และไม่ได้หลับตา พร้อมๆ กับที่ลืมตา จมูกได้กลิ่นอับๆ ปนความชื้น”
จากนั้นก็บรรยายถึงสภาพของน้อยในคุกและให้น้อยหวนระลึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะโดนจับโบยตีและจำขังไว้ตั้งแต่ต้นที่ออกเรือเดินทางลงใต้สู่บางกอก
กลวิธีการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจของนวนิยายเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ การนำเอาบทประพันธ์จากวรรณคดีสำคัญๆ มาสอดแทรกเอาไว้ในเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เด่นมากก็คือนำมาใช้ในการมาเปิดเรื่องแต่ละตอนเพื่ออธิบายเนื้อความสำคัญในตอนนั้นๆ เช่นในตอนที่ ๒ ซึ่งเป็นตอนที่ทั้งสามพี่น้องช่วยเหลือพะยอม น้อยรู้สึกพึงพอใจพะยอม ก็เอาคำประพันธ์จากลิลิตพระลอมาเป็นชื่อตอนหรือเปิดตอนว่า “สุกรมพะยอมพึง ใจพี่ พระเอย” หรือในตอนที่น้อยเริ่มการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ให้กับชาวบ้านที่บ้านยายเจิม ซึ่งมีการกล่าวถึงตำราพิไชยสงครามด้วย ผู้ประพันธ์ก็คัดเอาความตอนหนึ่งในตำราพิไชยสงครามมาเปิดตอนว่า
“โหราศาตพิไชยสงคราม มีแจ้งทุกนาม
จงเรียนให้รู้แต่งคน”
การนำเอาคำประพันธ์มาเปิดตอนแต่ละตอนนี้ เข้าใจว่าผู้ประพันธ์คงได้รับอิทธิพลมาจากธรรมเนียมการแต่งนวนิยายจีนโบราณที่นิยมยกคำประพันธ์ขึ้นมาเปิดเรื่องแต่ละตอน และสอดแทรกสลับกับร้อยแก้ว ๒๙ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามก๊ก ซ้องกั๋ง ความฝันในหอแดง หรือไซอิ๋ว เพื่อประโยชน์ในการอธิบายเนื้อเรื่องหรือพฤติกรรมสำคัญของตัวละครในตอนนั้นๆ เช่นในบทที่ ๑ ของเรื่องสามก๊กอันเป็นตอนที่เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยสาบานเป็นพี่น้องกันในสวนท้อและร่วมกันปราบโจรฏฃโพกผ้าเหลือง ก็เปิดเรื่องด้วยบทกวีว่า
“สามชายใจเด็ดสาบานตัวในสวนท้อ
ปราบพวกโจรผ้าเหลือง
ประเดิมชัยเกียรติประวัติวีรชน”
วรรณไว พัธโนทัย (แปลและเรียบเรียง). สามก๊ก ฉบับแปลใหม่ เล่ม ๑. ๒๕๓๘. หน้า ๑.
ซึ่งกลวิธีเช่นนี้นับเป็นกลวิธีที่น่าสนใจและให้บรรยากาศของความเป็นนวนิยายอิงประวัติเพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว

๔. วินิจฉัยสาร

เมื่อเสนี เสาวพงศ์ เขียนนวนิยายเรื่องปีศาจในปี พ.ศ.๒๔๙๗ เรื่องราวของชาวบ้านที่รวมตัวกันต่อต้านทหารญี่ปุ่นด้วยวิธีการต่างๆ อาจเป็นเพียงส่วนประกอบที่เป็นโครงเรื่องย่อยแทรกเอาไว้ในนวนิยายเรื่องนั้น เพื่อยืนยันถึง“การต่อสู้ของสามัญชน” ที่มีต่อผู้รุกรานหรือยึดครองทรัพย์สินหรือชาติบ้านเมืองของพวกเขา โดยไม่หวังผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่โครงเรื่องหลักของเรื่องมุ่งเสนอการต่อสู้ระหว่างชาวนากับนายทุนผู้พยายามแย่งที่ดินไปจากการครอบครองของพวกเขาหลังจากนั้นเป็นเวลา เมื่อเสนีย์ เสาวพงศ์กลับมาเขียนหนังสืออีกครั้งหลังเกษียณอายุ แนวคิดนี้ก็กลายเป็นแนวคิดหลักของเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” ที่อาศัยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หลังกรุงแตกครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ เป็นเค้าเรื่อง สารของเรื่องจึงไม่เพียงนำเสนอพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีในบันทึกประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้นผู้ที่มีบทบาทในการสร้างระวัติศาสตร์ยอ่มไม่ใช่มีเพียงกลุ่มชนชั้นนำของสังคมเพียงกลุ่มเดียว แต่กลุ่มคนที่เป็นสามัญชนต่างหากที่เป็นผู้สร้าง หากแต่เรื่องราววีรกรรมหรือชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขามิได้มีการบันทึกไว้ หรือพวกเขาไม่ยินยอมที่จะได้รับการบันทึกเอาไว้ ตัวละครชาวบ้านใน “คนดีศรีอยุธยา” จึงผละจากกองทัพพระยาตากกลับไปดำรงชีวิตตามวิถีทางบของ “สามัญชน” โดยไม่ไยดีว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยปฏิบัติวีรกรรมอันลือลั่น ไม่ไยดีว่าจะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์หรือคำยกย่องใดๆ ต่างจากกลุ่มคนที่เป็นระดับนำของสังคมอันได้แก่เหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่เริ่มมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของหมู่หาญ ความเป็นคนหูเบาของนายกองที่เป็นนายของหมู่หาย หรือแม้แต่พฤติกรรมของนายสังข์ หมื่นเพ็ชร์ และที่แสดงความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นได้ชัด หาวิธีการกำจัดคู่แข่งของตนโดยไม่คำนึงประโยชน์ของส่วนรวม คำกล่าวของนายกองใหญ่ที่มีต่อแก้วภายหลังการจากไปของโตและพวกพ้องที่ว่า
“แก้วเอ๋ย” นายกองใหญ่พูดเสียงพร่าด้วยความตื้นตันใจ “ชาวบ้านของเรานั้นดีแสนดีน่ารักน่านับถือ เขาร่วมทำงานใหญ่ขนาดนี้โดยไม่เรียกร้องอะไรเลย หรือถึงจะให้ก็ยังไม่ยอมรับมีแต่เสียสละ เสียสละ ส่วนคนที่ทำราชการ เอ็งอยู่ต่อไปจะได้เห็นเอง ใช้ให้ทำอะไรหน่อยก็เรียกร้องขอของแลกเปลี่ยน จะต้องได้โน่นจะต้องเป็นนี้ถึงจะทำ บางคนทำอะไรนิดหน่อยก็เรียกร้องทวงบุญคุณเสียล้นเหลือ คนอย่างนี้มันมีจริงๆ ถึงจะเป็นพวกส่วนหน่อยก็เถอะ…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๕๓๘

ที่ยกมานี้ย่อมเป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความจริงของประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน และแสดงให้เห็นความจริงทางสังคมและการเมืองทุกยุคสมัย กระทั่งปัจจุบัน
สารที่สำคัญของเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” จึงไม่ได้เป็นเพียงนวนิยายสะท้อนประวัติศาสตร์ในยุคหนึ่งเท่านั้น แต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการจำลองประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้กล่าวถึงมากนักหรือเกือบจะไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเลย ให้ภาพความจริงของมนุษย์ผู้สร้างประวัติศาสตร์และผู้เสวยความสุขจากการสร้างประวัติศาสตร์ของสามัญชนได้อย่างเด่นชัด
ชื่อของวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ที่อยู่ในความทรงจำ และอยู่ในตำราให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเล่าเรียน มักเป็นชื่อของผู้มี “บุญญาบารมี” แต่ยากที่จะมีการบันทึกเหล่าผู้เสียสละชีวิตเลือกเนื้อปกป้องชาติบ้านเมืองที่ร่างกายถมทับแผ่นดินคนแล้วคนเล่าจำนวนมหาศาลนอกจากสารหลักที่เน้นความสำคัญของสามัญชนแล้ว เสนีย์ยังนำเสนอสามัญชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ในประวัติศาสตร์มักเห็นความสำคัญเพียงเป็น “เครื่องบำเรอ” ความใคร่ของบุรุษเพศชิ้นหนึ่งเท่านั้น หรือเป็นเพียงช้างเท้าหลังที่สุดแท้แต่ช้างเท่าหน้าอย่างบุรุษเพศจำลิขิตชีวิตให้ เสนีย์ได้สร้างภาพของสตรีอีกแบบหนึ่งที่เต็มไปด้วยความแข็งแเกร่ง ความเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองไม่แพ้บุรุษ สร้างภาพให้เห็นความจริงว่า โดยแท้จริงแล้วสตรีก็มีบทบาทความสำคัญเท่าเทียมกับชาย มีความสามารถเท่าเทียมกับชายซึ่งในประวัติศาสตร์ก็มีสตรีเยี่ยงนี้อยู่ไม่น้อย เพียงแต่สตรีเยี่ยงนี้ที่ได้รับการบันทึกไว้นั้นมักจะเป็นสตรีชั้นสูงหรือระดับเจ้านายเสียมากกว่า
ในด้านของการรวมตัวกันของเหล่าสามัญชน เสนีย์ได้เน้นให้เห็นถึงลักษณะการรวมตัวที่ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใครหรือเป็นหัวหน้าใคร อันค่อนข้างจะเป็นลักษณะที่เป็นอุดมคติมากกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไม่ว่ายุคสมัยใด แต่จะอย่างไรก็ตาม การสร้างอุดมคติในลักษณะเช่นนี้อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ให้มีความเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ซึ่งสารนี้น่าจะคาดคิดได้ว่าผู้ประพันธ์มุ่งที่จะเสนอในเชิงของการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันเพื่อการมีอำนาจ มากกว่าที่จะช่วยกัน ร่วมมือกัน ให้แต่ละคนสามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนสร้างประโยชน์สุขแก่สังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

๕. บทสรุป

นวนิยายเรื่องนี้แม้จะเป็นเพียงจินตนิยายที่สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ทางระวัติศาสตร์ แต่ความคิดสำคัญหรือปรัชญาที่ปรากฏอยู่ในเรื่องก็สามารถนำมารับให้เข้ากับสภาพปัจจุบันของสังคมไทยได้ไม่น้อยเมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ ภายหลังไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ระชาชนบ้านแตกสาแหรกขาดแบ่งแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า
“ขณะนั้น แต่บรรดาประชาชนทั้งหลายซึ่งหนีพม่าเหลืออยู่นั้น ต่างก็คุมสมัครพรรคพวกครอบครัวอยู่กันเป็นพวกเป็นเหล่า ผู้ใดที่มีฝีมือเข้มแข็งก็ตั้งตัวเป็นนายชุมนุม ส้องสุมคุ้มครองผู้คนครอบครัวเป็นอันมาก ตั้งชุมนุมอยู่แห่งหนึ่ง แต่ชุมนุมตั้งอยู่ดังนี้มีในจังหวัดแขวงกรุงและแขวงหัวเมืองและสวน และหัวเมืองอื่นฝ่ายเหนือใต้เป็นอันมากหลายแห่งหายตำบล ขัดสนด้วยข้าวปลาอาหารและเกลือไม่มีจะกิน ต่างรบพุ่งชิงอาหารกัน ชุมนุมนี้ยกไปตีชุมนุมนั้น ชุมนุมนั้นไปตีชุมนุมโน้น ต่อๆ กันไป ที่นายชุมนุมไหนเข้มแข็งก็มีชัยชำนะ และเกิดฆ่าฟันกันเป็นจลาจลไปทั่วทั้งแผ่นดินในเขตแดนแว่นแคว้นสยามประเทศ เหตุว่าหาเจ้าแผ่นดินจะปกครองบมิได้ เหมือนดุจสัตถันดรกัลป์และทุพภิกขันดรกัลป์…”
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. ๒๕๒๕. หน้า ๒.

บ้านเมืองในปัจจุบันดูไปก็มิแตกต่างไปจากเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนนัก ปัจจุบันแม้จะไม่ตกอยู่ในสภาพเมืองขึ้นตามความหมายในประวัติศาสตร์โบราณ แต่มีอะไรที่แตกต่างไปจากการตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งที่กำลังเข้ามามีอำนาจเหนือทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ในขณะที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองยังคงไม่ตระหนัก ยังคงแบ่งก๊กแบ่งเหล่าแย่งชิงอำนาจและทรัพย์สินของประเทศเป็นของตนโดยไม่ได้คำนึงถึงความอยู่รอดของประเทศชาติทั้งๆ ที่ปากพูดเสมอว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง

บรรณานุกรม
กอบกุล อิงคุทานนท์. ศัพท์วรรณกรรม. สำนักพิมพ์ษรฉัตร,ม.ป.ป.
ทองสุก เกตุโรจน์ (แปลและเรียบเรียง) อธิบายศัพท์วรรณคดี. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๙.
ธัญญา สังขพันธานนท์. วรรณกรรมวิจารณ์. นาคร,๒๕๓๙.
มาลินี ดิลกวณิช “เอกลักษณ์ไทยในสามก๊ก : รูปแบบคำประพันธ์.” วารสารธรรมศาสตร์. ๑๓ : ๒ มิถุนายน ๒๕๒๗. หน้า ๑๒๔–๑๓๓.
วรรณไว พัธโนทัย (แปลและเรียบเรียง). สามก๊ก ฉบับแปลใหม่ เล่ม ๑. ๒๕๓๘. หน้า ๑.
วิภา กงกะนันท์. วรรณคดีศึกษา. ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๒.
สุดารัตน์ เสรีวัฒน์. วิวัฒนาการของเรื่องสั้นในเมืองไทยตั้งแต่แรกจนถึง พ.ศ.๒๔๗๕. หน่วยศึกษานิเทศก์, กรมการฝึกหัดครู,๒๕๒๒.
สุพรรณี วราทร ประวัติการประพันธ์นวนิยายไทย. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์,๒๕๑๙.
สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร. พระอภัยมณี การศึกษาในเชิงวรรณคดีวิจารณ์ . สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย, ๒๕๑๘.
เสถียร จันทิมาธร(บรรณาธิการ). ๗๒ ปี ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ นักเขียนสามัญชน. สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๓๓.
เสนีย์ เสาวพงศ์. คนดีศรีอยุธยา. สำนักพิมพ์มติชน,๒๕๒๕..


อุดม หนูทอง., พื้นฐานการศึกษาวรรณคดีไทย. สงขลา : โรงพิมพ์เมืองสงขลา,๒๕๒๓.

การอ่านนวนิยายและเรื่องสั้น

การอ่านนวนิยายและเรื่องสั้น

นวนิยายและเรื่องสั้น เป็นการเขียนประเภทบันเทิงคดีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก ในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงแม้นวนิยายและเรื่องสั้นจะเป็นเรื่องสมมุติ แต่เรื่องราว สารัตถะต่าง ๆ มักถ่ายแบบมาจากชีวิตจริง ดังนั้นการอ่านนวนิยายและเรื่องสั้น นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินใจแล้วผู้อ่านยังได้แง่คิดต่าง ๆ จากพฤติกรรมของตัวละครไปพร้อม ๆ กันด้วย
นวนิยายและเรื่องสั้นมีองค์ประกอบการเขียนที่เหมือนกัน แต่เรื่องสั้นมีโครงเรื่องที่ซับซ้อนน้อยกว่านวนิยาย มีการดำเนินเรื่องในช่วงระยะเวลาอันสั้น มีตัวละครเด่น ๆ เพียง 2 - 3 ตัวและเป็นเรื่องที่เสนอความคิดสำคัญเพียงความคิดเดียว
หลักการอ่านและพิจารณานวนิยายมีดังนี้
1. โครงเรื่อง (Plot) ได้แก่ การวางทิศทางของเรื่องว่าจะให้เรื่องดำเนินไปในทิศทางใด โดยวางลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง ดำเนินเรื่อง และปิดเรื่อง ในขณะที่เรื่องดำเนินไปจะปรากฏอุปสรรคและความขัดแย้งเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวละคร ซึ่งความขัดแย้ง (Conflict) นี้มีทั้งความขัดแย้งภายนอกและความขัดแย้งภายในการแสดงเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้อ่านทราบว่าเป็นเรื่องราวของใคร เกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร เมื่อใด มีเหตุการณ์อะไร ส่วนโครงเรื่องนั้นคือส่วนที่เน้นความเกี่ยวข้องระหว่างตัวละครในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลต่อเนื่องกัน โครงเรื่องที่ดีมีลักษณะดังนี้
1.1 มีความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องและระหว่างบุคคลในเรื่องอย่างเกี่ยวเนื่องกันไปโดยตลอด
1.2 มีขัดแย้งหรือปมของเรื่องที่น่าสนใจ เช่น ความขัดแย้งของมนุษย์ กับสิ่งแวดล้อมการต่อสู้ระหว่างอำนาจอย่างสูงกับอำนาจอย่างต่ำภายในจิตใจ การชิงรักหักสวาท ฯลฯ ขัดแย้งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ตัวละครแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมาอย่างน่าสนใจ
1.3 มีการสร้างความสนใจใคร่รู้ตลอดไป (Suspense) คือการสร้างเรื่องให้ผู้อ่านสนใจใคร่รู้อย่างต่อเนื่องโดยตลอด อาจทำได้หลายวิธี เช่น การปิดเรื่องที่ผู้อ่านต้องการทราบไว้ก่อน การบอกให้ผู้อ่านทราบว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในตอนต่อไป การจบเรื่องแต่ละตอนทิ้งปัญหาไว้ให้ผู้อ่าน อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวต่อไปนี้
1.4 มีความสมจริง (Realistic) คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล มิใช่เหตุประจวบหรือเหตุบังเอิญที่มีน้ำหนักเบาเกินไป เช่น คนกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน หาทางออกหลายอย่างแต่ไม่สำเร็จ บังเอิญถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงพ้นความเดือดร้อนไปได้
2. กลวิธีในการดำเนินเรื่อง จะช่วยให้เรื่องน่าสนใจและเกิดความประทับใจซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น
2.1 ดำเนินเรื่องตามลำดับปฏิทิน คือเริ่มตั้งแต่ละครเกิด เติบโตเป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว แก่แล้วถึงแก่กรรม
2.2 ดำเนินเรื่องย้อนต้น เป็นการเล่าแบบกล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายก่อนแล้วไปเล่าตั้งแต่จนกระทั่งจบ
2.3 ดำเนินเรื่องสลับไปมา คือ การเริ่มเรื่องในตอนใดตอนหนึ่งก่อนก็ได้ เช่น อาจกล่าวถึงอดีตแล้วกลับมาปัจจุบันอีก หรือการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดต่างสถานที่สลับไปมา ผู้อ่านควรพิจารณาว่ากลวิธีในการดำเนินเรื่องของผู้เขียนแต่ละแบบมีผลต่อเรื่องนั้นอย่างไร ทำให้เรื่องน่าสนใจชวนติดตามและก่อให้เกิดความประทับใจหรือไม่ หรือว่าก่อให้เกิดความสับสนยากต่อการติดตามอ่าน
3. ตัวละคร (Character) ตัวละครคือผู้แสดงบทบาทหรือพฤติกรรมในเรื่อง อาจเป็นมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ หรือสิ่งของก็ได้ โดยให้สามารถทำพฤติกรรมเยี่ยงมนุษย์ ตัวละครสำคัญในเรื่องเรียกว่าตัวละครเอก ส่วนตัวละครอื่น ๆ เป็น ตัวประกอบ โดยทั่วไปแล้วตัวละครแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ตัวละครที่มีลักษณะเดียว (Flat Character) เป็นตัวละครที่แสดงลักษณะนิสัยเพียงด้านเดียว เช่น เป็นคนดีก็เป็นคนดีตลอด ร้ายก็ร้ายตลอดทั้งเรื่อง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนิสัย
2. ตัวละครที่มีหลายลักษณะ (Round Character) เป็นตัวละครที่ลักษณะนิสัย อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งดูเหมือนคนในชีวิตจริง
กลวิธีในการนำเสนอลักษณะนิสัยของตัวละคร มีวิธีการนำเสนอ 5 วิธีด้วยกัน ซึ่งมีทั้งการนำเสนอทางตรงและทางอ้อม (ทองสุก เกตุโรจน์ 2519 : 17) ดังนี้
การบรรยายลักษณะนิสัยของตัวละครทางตรง
1. ผู้เขียนเป็นผู้บรรยายรูปร่างลักษณะ และความรู้สึกของตัวละครเอง
2. ผู้เขียนกำหนดให้ตัวละครตัวอื่น ๆ สนทนา กล่าวถึงหรือคิดเกี่ยวกับตัวละครอีกตัวหนึ่ง
การบรรยายลักษณะนิสัยของตัวละครทางอ้อม
1. ผู้เขียนให้ผู้อ่านทราบนิสัยด้วยการบรรยายการกระทำของตัวละครตัวนั้น
2. ผู้เขียนให้ผู้อ่านทราบนิสัยด้วยบทสนทนาของตัวละครตัวนั้น
3. ผู้เขียนให้ผู้อ่านทราบนิสัยด้วยการบรรยายความคิดของตัวละครตัวนั้น
3.1 ลักษณะนิสัยของตัวละคร
3.1.1 มีความสมจริงเหมือนคนธรรมดาทั่วไป คือ มีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่ว่าดีจนหาที่หนึ่ง หรือเลวจนหาที่ชมไม่พบ
3.1.2 มีการกระทำหรือพฤติกรรมที่สดคล้องกับลักษณะนิสัยตนเอง ไม่ประพฤติปฏิบัติในที่หนึ่งอย่างหนึ่งและอีหนึ่งอย่างหนึ่ง
3.1.3 การเปลี่ยนลักษณะนิสัยของตัวละครต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
3.2 บทสนทนาของตัวละคร บทสนทนาที่ดี ควรพิจารณาดังนี้
3.2.1 มีความสมจริง คือ สร้างบทสนทนาให้สอดคล้องกับฐานะและลักษณะนิสัยของตัวละครในเรื่อง
3.2.2 มีส่วนช่วยให้เรื่องดำเนินต่อไปได้
3.2.3 มีส่วนช่วยให้รู้จักตัวละครในด้านรูปร่างและนิสัยใจคอ
4. ฉาก (Setting) หมายถึงสถานที่และเวลาที่เกิดเหตุการณ์ตามท้องเรื่อง ฉากควรถูกต้องและมีความสมจริง เหมาะสมกับแนวเรื่อง ฉากจะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านทราบถึงบรรยากาศของเรื่อง อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของตัวละครอีกด้วย ดังเช่น ฉากพายุกล้า มีฝนตกฟ้าร้อง ย่อมสร้างบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว ตัวละครอาจตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัว ตื่นตระหนก และกำลังตกอยู่ในอันตราย หรือฉากท้องทุ่งนาที่แตกระแหง ย่อมสะท้อนบรรยากาศร้อนอบอ้าว ตัวละครอาจตกอยู่ในภาวะอดอยาก ยากแค้น เป็นต้น
4.1 สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง และช่วยสร้างบรรยากาศ เช่น บ้านร้างมีใยแมงมุมจับอยู่ตามห้อง ฯลฯ น่าจะเป็นบ้านที่มีผีสิง คืนที่มีพายุฝนตกหนักจะเป็นฉากสำหรับฆาตกรรม
4.2 ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง ฉากที่มีความถูกต้องตามสภาพภูมิศาสตร์และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะช่วยเสริมให้นวนิยายเรื่องนั้นมีคุณค่าเพิ่มขึ้น
5. สารัตถะ (Theme) หรือแนวคิดหรือแก่นเรื่อง เป็นสารสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านทราบ อาจจะเป็นความจริงอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นกับโลกและวิถีชีวิตมนุษย์ เช่น ความรัก ความแค้น ความซื่อสัตย์ ความ อยุติธรรม ความเชื่อ ความหลง ความตาย ความอดอยากยากแค้น ความกลัว การสร้างแนวคิดหลักของเรื่องนั้น ผู้เขียนจะไม่สื่อความหมายโดยตรง แต่จะซ่อนสารสำคัญของเรื่องไว้ในบทสนทนาหรือคำบรรยาย ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ
6. บทสนทนา (Dialogue) หมายถึงถ้อยคำที่ตัวละครเจรจาโต้ตอบกัน มีส่วนช่วยในการดำเนินเรื่อง คือ แทนที่ผู้เขียนจะเล่าเหตุการณ์ใดก็ใช้บทสนทนาแทน จะทำให้ผู้อ่านได้รู้จักนิสัยใจคอ ความรู้สึกนึกคิด ลักษณะนิสัย ตลอดจนบุคลิกของตัวละครนั้นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของบทสนทนาที่ดีจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับฐานะและบทบาทของตัวละครนั้น ๆ
7. กลวิธีในการประพันธ์ (Techniques) กลวิธีในการประพันธ์ จะมีส่วนช่วยให้เนื้อหามีสีสัน น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ กลวิธีในการประพันธ์แบ่งออกเป็น กลวิธีการดำเนินเรื่องและกลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
การเปิดเรื่อง เป็นการเริ่มต้นเรื่อง ผู้เขียนสามารถสร้างความน่าสนใจให้กับเรื่องได้หลายวิธี เช่น เปิดเรื่องจากการกระทำของตัวละคร, เปิดเรื่องจากบทสนทนา, เปิดเรื่องโดยการพรรณนาฉากและบรรยากาศของเหตุการณ์ สถานที่, เปิดเรื่องโดยบรรยายรูปร่าง ลักษณะของตัวละคร และเปิดเรื่องโดยใช้โวหาร คำพูดที่คมคาย เพื่อกระตุ้นให้ขบคิด
การลำดับเรื่อง ผู้เขียนอาจลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบได้หลายวิธี ดังเช่น
1. ลำดับเรื่องตามลำดับปฏิทิน หรือตามลำดับก่อนหลัง อาจดำเนินเรื่องโดยเริ่มเรื่องตั้งแต่ตัวละครเกิด เติบโตเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งถึงวัยชรา และตายในที่สุด
2. ลำดับเรื่องแบบย้อนต้น เป็นการดำเนินเรื่องที่เริ่มเรื่องจากปัจจุบัน ในขณะที่ตัวละครเป็นคนหนุ่มสาว หรือคนชรา แล้วย้อนกลับไปคิดถึงความหลัง หรือเรื่องราวในอดีต แล้วจึงดำเนินเรื่องกลับมาสู่เหตุการณ์ในปัจจุบัน
3. ลำดับเรื่องแบบสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบัน หรือระหว่างเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในสถานที่ 2 แห่ง
การปิดเรื่อง เมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงจุดสุดยอด (Climax) ย่อมคลี่คลายเข้าสู่การปิดเรื่อง ซึ่งจะทำให้เรื่องจบอย่างใดอย่างหนึ่ง การปิดเรื่องที่นิยมมี 4 วิธีดังนี้
1. การปิดเรื่องแบบหักมุมหรือพลิกความคาดหมาย เป็นการจบเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผู้อ่าน ทั้ง ๆ ที่เรื่องดำเนินไปในทางที่น่าจะเป็น แต่ก็ต้องมาจบแบบพลิกความคาดหมาย ทำให้ผู้อ่านเกิดความฉงนสนเท่ห์ได้มาก
2. การปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม เป็นการปิดเรื่องด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เนื่องจาก ตัวละครต้องประสบกับความผิดหวัง ความสูญเสีย ความล้มเหลวในชีวิต การปิดเรื่องในลักษณะนี้สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจชะตากรรมของตัวละคร
3. การปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม เป็นการปิดเรื่องอย่างมีความสุข หลังจากที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค ตัวละครก็ได้รับความสำเร็จในสิ่งหวัง
4. การปิดเรื่องแบบทิ้งไว้ให้คิด การจบเรื่องในลักษณะนี้มักจะไม่ปิดเรื่องโดยสมบูรณ์ แต่จะปล่อยให้ผู้อ่านใช้จินตนาการคิดต่อไปว่าเรื่องจะลงเอยเช่นไร หรือยั่วยุให้ผู้อ่านตั้งคำถามต่อเรื่อง
กลวิธีการเล่าเรื่อง
ในเรื่องเล่าแต่ละเรื่อง ผู้เขียนจะกำหนดหรือเลือกว่าจะให้ใครเป็นคนเล่าเรื่อง หรือจะเล่าเรื่องโดยผ่านสายตาหรือ “มุมมอง” ของใคร การเล่าเรื่องนั้นที่นิยมมี 4 วิธีดังต่อไปนี้
1. ผู้แต่งในฐานะเป็นตัวละครตัวหนึ่งเป็นผู้เล่า อาจจะเล่าผ่านทางตัวละครเอกหรือ ตัวละครรองก็ได้ โดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ ผม ดิฉัน ข้าพเจ้า หนู เรา
2. ผู้แต่งกำหนดให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเป็นผู้เล่า โดยสมมุติว่าตัวละครนั้นอยู่ในเหตุการณ์หรือรับรู้เรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างดี ผู้แต่งจะรู้แต่ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นเพียงตัวเดียว เช่น ในเรื่องสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเล่าเรื่องโดยผ่านมุมมองและความรู้สึกของแม่พลอย เป็นต้น
3. ผู้แต่งในฐานะเป็นผู้รู้แจ้งเป็นผู้เล่า ในกรณีนี้นักเขียนจะไม่ให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเป็นผู้เล่า แต่จะใช้วิธีบรรยายไปตามเรื่องที่ตัวละครมีบทบาท ทั้งนี้เป็นเหตุการณ์และความรู้สึกนึกคิดภายในใจ
ของตัวละคร ผู้แต่งเป็นผู้ล่วงรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวละครและนำมาบรรยายได้อย่างถ้วนถี่ ไม่ว่าตัวละครนั้น ๆ จะคิดอะไร รู้สึกอย่างไร
4. ผู้แต่งในฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์เป็นผู้เล่า กลวิธีนี้ผู้เขียนจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในจิตใจของ ตัวละคร แต่จะทำหน้าที่เสมือนคนรายงานสิ่งที่ตนเห็นหรือได้ยินได้ฟัง ได้สังเกตการสนทนาหรือการกระทำของตัวละครเท่านั้น ไม่อาจทราบความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้น ๆ ได้
8. ลีลาและท่าทีของผู้แต่ง (Style and Tone)
ลีลาการเขียนและท่าทีของผู้แต่ง เป็นสิ่งที่ผู้เขียนแสดงออกผ่านบทสนทนา บทบรรยายฉาก เหตุการณ์ หรือจากพฤติกรรมของตัวละคร คำว่า “ลีลา” (Style) พระยาอนุมานราชธน ได้ให้คำจำกัดความ หมายถึง “ท่วงทำนองในการแสดงออก” ซึ่งผู้เขียนแต่ละคนจะมีลีลาการเขียน การใช้ภาษาที่เป็นแบบแผนเฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง หรือการใช้ถ้อยคำ โวหาร การใช้ความเปรียบ ภาพพจน์ การใช้รูปประโยค การใช้บทบรรยาย พรรณนาต่าง ๆ จนเป็นเอกลักษณ์ของผู้เขียนคนนั้น ๆ
ส่วนคำว่า “ท่าทีของผู้แต่ง” (Tone) หรือบางครั้งเรียกว่า “นํ้าเสียงของผู้แต่ง” นั้นจะไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องอย่างตรงไปตรงมา หากผู้เขียนจะซ่อนแฝงท่าทีและนํ้าเสียงของตนไว้ในบทสนทนา บทบรรยายพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นํ้าเสียงสามารถแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น นํ้าเสียงเสียดสี ประชดประชัน เสียดเย้ย เยาะเย้ย ตำหนิติเตียน สงสาร สมเพช และสลดใจ เป็นต้น
ลีลาการเขียนและท่าทีของผู้แต่ง เป็นสิ่งที่มีความสอดคล้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในขณะเดียวกันก็สามารถสะท้อนรสนิยม บุคลิก ลักษณะนิสัย ตลอดจนทัศนคติของผู้เขียนที่มีต่อโลกและชีวิตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

การอ่านหนังสือนวนิยาย สำคัญต่อการพัฒนามนุษย์อย่างไร

การอ่านหนังสือนวนิยาย สำคัญต่อการพัฒนามนุษย์อย่างไร
รศ.วิทยากร เชียงกูล
อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "ปฏิรูปประเทศไทย"
14 พฤศจิกายน 2559  12,539

ปัจจัยสำคัญที่ทำมนุษย์วิวัฒนาการได้ก้าวหน้ากว่าสัตว์ชนิดพันธุ์อื่นๆ คือการที่สมองมนุษย์พัฒนากระบวนการคิดแบบให้เหตุผลในเชิงเชื่อมโยงเปรียบเทียบเรื่องหนึ่งกับอีกเรื่องหนึ่งได้ เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้ เข้าใจโครงสร้างแบบแนวคิดรวบยอด (Concept) เรื่องที่เป็นนามธรรม เช่น เกียรติยศได้ นั่นหมายถึงมนุษย์โดยรวมเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนคิดได้ลึกซึ้งพอๆ กัน มนุษย์แต่ละคนต้องเรียนรู้พัฒนาทักษะในเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเป็นผู้ใหญ่และพัฒนาได้ในระดับที่ต่างกันไป
ประเพณีในการเล่านิทานเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของทุกสังคมทั่วโลก การเล่า/อ่านนิทานให้เด็กฟังคือวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เรื่องจินตนาการ การฝึกฝนสมาธิ ความสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้ยาวขึ้น การกล่อมเกลาให้เด็กเยาวชนเข้าใจ เห็นใจ และรู้จักความคิดจิตใจของคนอื่นๆ
นวนิยายมีความสำคัญต่อผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน การอ่านนวนิยายช่วยให้คนเราเข้าใจและเห็นใจคนอื่นเพิ่มขึ้น เพราะว่านวนิยายคือเรื่องของตัวละครเอกที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ นวนิยายอธิบายเรื่องราวว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ และเขาหรือเธอจะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเราอ่านนวนิยาย เราเอาตัวเราเองเข้าไปในสถานะการณ์และความคิดจิตใจของตัวละครเอก และเราสามารถที่จะเข้าใจการกระทำของตัวละครเอกจากความคิดจิตใจของเขา มากกว่าที่เรามักจะมองเห็นแค่ภายนอกของคนที่เราพบในชีวิตจริง
การฟัง/อ่านนิทาน นวนิยาย ทำให้เราเรียนรู้ความสัมพันธ์กับคนอื่นในสังคม และทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวตนของเรา (หมายถึงนวนิยายดีๆ ที่เขียนได้ลึกและมีศิลปะ) นวนิยายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่ดีพอๆ กับหนังสือความรู้สารคดีทั้งหลาย การได้เรียนรู้เรื่องชีวิตของคนอื่น ทำให้เรามองเชิงเปรียบเทียบและเข้าใจตัวเราเองมากขึ้นตัวละครต่างๆ ในนวนิยายมีความหมาย เพราะว่าเราสามารถเชื่อมโยงบุคคลิกอุปนิสัยพวกเขา กับโครงสร้างแนวคิดรวบยอด, เนื้อหาสาระ, คนอื่นๆ และเรื่องในอดีต เช่นเดียวกับชีวิตของตัวเราเองได้
เมื่อเราอ่านนวนิยาย เราเดินทางเข้าไปในโลกของตัวละครและเริ่มเชื่อมโยงกับพวกเขา ประสบการณ์และการตัดสินใจของพวกเขา เราจะมีความรู้สึกทั้งในทางบวกและลบต่อพวกเขาเหมือนเรารู้สึกกับผู้คนจริงๆ และห่วงใยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากการเล่นวิดีโอเกมมาก เพราะตัวละครในวิดีโอเกมเป็นเพียงสัญลักษณ์เป็นตัวการ์ตูนที่ ไม่มีชีวิตจิตใจที่จะเทียบได้เท่าตัวละครในนวนิยาย
การเล่าเรื่อง/อ่านนิทาน นวนิยาย ทำให้มนุษย์เราเริ่มเข้าใจความหมายเกี่ยวกับโลก เรียนรู้ที่จะเข้าใจความคิดจิตใจของคน การเล่า/อ่านเรื่องราว ต้องการเวลา และความตั้งใจฟัง มันไม่ใช่แค่การถ่ายทอดข้อมูล แต่เป็นกระบวนการการเรียนรู้เรื่องราวของชีวิตและสังคม ต่างจากการสื่อสารกันด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ที่เชื่อมอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งเป็นเรื่องการสื่อสารข้อมูลแบบสั้นๆ กระจัดกระจาย กระโดดไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ และไม่มีทางหรือยากมากที่จะสร้างความเข้าอกเข้าใจเห็นใจคนอื่นเหมือนกับการอ่านนวนิยายดีๆ
เทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น การค้นหาความรู้ข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต อาจมีส่วนทำให้เราตั้งคำถามและคิดได้ลึกมากขึ้นก็ได้ แต่คนที่จะรู้จักใช้ประโยชน์จากเครื่องมือใหม่นี้อย่างสร้างสรรค์ได้ ควรจะเป็นคนที่ผ่านการเรียนรู้อย่างช้าๆ และมีสมาธิ เรียนรู้เรื่องชีวิตและสังคม และภาษาวรรณกรรมจากนิทาน นวนิยายก่อน และเป็นคนที่พัฒนาโครงสร้างความคิดรวบยอดของตัวเองได้ก่อน พวกเขาจึงจะเป็นคนที่รู้จักใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อคิดตั้งคำถามปลายเปิดและคำถามที่ยากเป็น
เด็กเยาวชนหรือผู้ใหญ่ที่ใช้แต่การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้เรียนรู้จากวัฒนธรรมการเล่า การอ่านนิทาน นวนิยาย บทกวี จะกลายเป็นคนที่แค่สนใจเปิดดูข้อมูลแบบรวดเร็ว ฉาบฉวย ตื้นเขิน เช่น ข้อมูลสั้นๆ ที่โดดเดี่ยว กระโดดจากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ อย่างไม่สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตและสังคมได้ ซึ่งต่างจากการอ่านหนังสือมาก แม้แต่ Eric Schimidt ประธานบริษัท Google เว็บไซต์ในการค้นหาข้อมูลที่ใหญ่และคนใช้มากที่สุดในโลกยังยอมรับว่า การใช้เวลานั่งลงและอ่านหนังสือเล่ม คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้เรียนรู้บางอย่างจริงๆ
บทกวีคืออีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรมสร้างสรรค์ บทกวีดีๆ นอกจากจะบอกเรื่องราว เชื่อมโยงอุปมาอุปไมย ให้อารมณ์ความรู้สึกมากแล้ว ยังให้ความงาม ความไพเราะ ให้แง่คิด ประสบการณ์ที่คมและลึกด้วย
นักวิชาการด้านสมองยืนยันว่าการส่งเสริมให้เด็กเยาวชนประชาชนอ่านหนังสือวรรณกรรมดีๆ จะพัฒนาความฉลาดและความเป็นมนุษย์ได้มากกว่าที่จะปล่อยให้เด็กติดสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ติดเกม โดยที่ยังไม่มีพื้นฐานในการรักการอ่านนิทาน นิยาย เพื่อความเพลิดเพลิน และมีความอยากรู้อยากเห็น รู้จักตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง
(ขอแนะนำหนังสือนวนิยายคลาสสิกดีๆ หลายเล่มที่พิมพ์และจำหน่ายโดยมูลนิธิหนังสือเพื่อสังคมและหนังสือบทกวีจากนานาชาติที่ผมคัดสรรและแปลเรียบเรียง 2 เล่ม คือ บทกวีดีเด่น - แด่ชีวิตและความรัก และนาซิม ฮิคเมท กวีสากลผู้ยิ่งใหญ่ ติดต่อที่เฟซบุ๊คมูลนิธิเพื่อนหนังสือและมูลนิธิหนังสือเพื่อสังคม โทร/ไลน์ 094-2037465 และที่ร้านจุดประกาย ชั้น 4 หอศิลป์กรุงเทพ ปทุมวัน)

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/639430

ยุทธจักรชิงบัลลังก์มังกร 6

5 ศึกชิงเจ้าปฐพีปลายยุครณรัฐ การสัประยุทธ์ระหว่างฉินกับเจ้า ฉีและเว่ย ในปลายยุคจ้านกว๋อ การรบสู้ระหว่างแคว้นต่างๆ ยิ่งเข้มข้นข...