5
ศึกชิงเจ้าปฐพีปลายยุครณรัฐ
การสัประยุทธ์ระหว่างฉินกับเจ้า
ฉีและเว่ย
ในปลายยุคจ้านกว๋อ
การรบสู้ระหว่างแคว้นต่างๆ ยิ่งเข้มข้นขึ้นตามลำดับ
แต่ละแคว้นต่างก็พยายามเฟ้นหานักปราชญ์มาเสริมกำลังตนให้เข้มแข็ง
ในขณะเดียวกัน “ปราชญ์” เองก็พยายามเสนอตัวต่อผู้ปกครองของแคว้นต่างๆ
เพื่อแสดงความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ในการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมือง
ชูฉิน-
ศิษย์สำนักหุบผาปีศาจรุ่นหลังซุนปินและผังเจวียน
ได้ใช้กลยุทธ์ประสานแนวดิ่งเพื่อรวมพลังหกแคว้นต่อต้านแคว้นฉินได้เพียงไม่กี่ปี ก็ถูกศิษย์ร่วมสำนัก คือจางอี้
ใช้กลยุทธ์เชื่อมแนวขวางทำลายพันธมิตรแนวดิ่งได้สำเร็จ แคว้นทั้งหกอันประกอบด้วย ฉี ฉู่ เว่ย หาน
และเอี้ยน
ก็แตกแยกกันจนไม่มีโอกาสที่จะร่วมมือกันอีกเลย
ในขณะที่ตัวของชูฉินเอง
หลังจากที่ครองตำแหน่งอัครเสนาบดีหกแคว้นได้ไม่นาน
ก็ถูกเหล่าขุนนางผู้เสียผลประโยชน์ทั้งหกแคว้นรวมหัวกันต่อต้านทวงตำแหน่งของตนคืน
ขจัดชูฉินออกจากเส้นทางการเมืองส่งตัวไปเป็นอัครเสนาบดีเมืองนรกในที่สุด
ส่วนจางอี้นั้นเล่าก็หาได้มีบั้นปลายชีวิตที่ดีไปกว่าซูฉินสักเท่าใดไม่ พอเหล่าขุนนางผู้สูญเสียประโยซน์ของแคว้นฉินเห็นว่าจางอี้คนนี้ชักจะเป็นที่โปรดปรานและมีผลงานดีเด่นเกินหน้าเกินตาพวกตน
ก็รุมกันกล่าวหาใส่ร้ายจนเจ้าผู้ครองแคว้นฉินชักจะไม่ค่อยไว้วางใจ ดีแต่จางอี้ไหวตัวทัน จึงใช้ลิ้นน้อยๆ
ของเขากล่าวเจรจาจนสามารถหลบลี้หนีหน้าจากแคว้นฉินไปพำนักอยู่แคว้นเว่ย
จางอี้พำนักอยู่แคว้นเว่ยไม่นานก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด
หมดยุคของซูฉินกับจางอี้แล้ว
ก็เข้าสู่ยุคของฟ่านซุย (ฮวมซุยในเลียดก๊ก)เจ้าของกลยุทธ์ “สามัคคีแคว้นไกล
โจมตีแคว้นใกล้”
อันเป็นกลยุทธ์ที่จิ๋นซีฮ่องเต้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรวมอาณาจักรได้สำเร็จในอีกเพียงครึ่งศตวรรษต่อมา
ภาพยนตร์ชุด “ศึกชิงเจ้าปฐพี”
เปิดเรื่องด้วยบทบาทของซูฉินและจางอี้
นับแต่ทั้งคู่ลงจากหุบผาปีศาจพร้อมกับคัมภีร์ “ไท่กงอิน” คนละครึ่งเล่ม
แล้วใช้วิชาความรู้จากคัมภีร์ขับเคี่ยวกันจนจบชีวิตลงทั้งสองคน ทำให้เด็กหนุ่มนาม
“ฟ่านซุย” ฉกชิงคัมภีร์ “ไท่กงอิน” ทั้งสองส่วนไปได้
ซึ่งก็กลายเป็นว่าฟ่านซุยมีคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์อยู่ในมือ
และเป็นปมสำคัญที่นำไปสู่การขับเคี่ยวกันทางการเมืองและการล้างแค้นกันเป็นการส่วนตัวระหว่างฟ่านซุยฝ่ายหนึ่ง
กับเมิ่งฉางจวิน ซิ่นหลิงจวินและผิงหยวนจวิน อีกฝายหนึ่ง
ฟ่านซุยกุมนโยบายสำคัญของแคว้นฉิน
ในขณะที่เมิ่งฉางจวิน
่ซิ่นหลิงจวินและผิงหยวนจวินกุมนโยบายสำคัญของแคว้นฉี เว่ย และเจ้า
ตามลำดับ
นับเป็นการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านแคว้นฉินเป็นครั้งสุดท้ายของแคว้นฉี เว่ย
และเจ้า
แต่น่าเสียดายที่มิอาจดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงไปได้
ทั้งนี้เพราะเป็นการรวมตัวกันบนพื้นฐานของความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
อันว่าฟ่านซุยนั้นถือกำเนิดจากครอบครัวยากจนในแคว้นเว่ย
ในวัยหนุ่มมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข
มีความตั้งใจที่จะรับราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาของเว่ยหวาง แต่ด้วยเหตุที่มิได้เกิดมาในตระกูลผู้ดีเก่า ฉะนั้นจึงถูกขัดขวางจากเสนาบดีคนสำคัญนามเว่ยฉี
ฟ่านซุยจึงได้ไปขออาศัยอยู่กับซูเจี่ยซึ่งเป็นขุนนางระดับกลาง หวังให้ซูเจี่ยสนับสนุนให้มีตำแหน่งทางการเมือง
ต่อมาฟ่านซุยได้ติดตามซูเจี่ยซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตเดินทางไปเจรจากับแคว้นฉี
ฟ่านซุยได้แสดงความสามารถในเชิงการทูตจนฉีเซียงหวางมีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงกับลอบส่งคนไปติดสินบนเกลี้ยกล่อมให้ฟ่านซุยพำนักอยู่ที่แคว้นฉี แต่ฟ่านซุยยังมีความหวังที่จะได้ทำนุบำรุงแคว้นเว่ยอยู่จึงปฎิเสธ เมื่อซูเจี่ยทราบเข้าก็เกิดสงสัยว่าฟ่านซุยจะคบคิดกับแคว้นฉีในการที่เป็นภัยต่อแคว้นเว่ย จึงบอกเรื่องราวทั้งหมดต่อเว่ยฉี
เว่ยฉีจึงให้จับตัวฟ่านซุยมาคาดคั้นเอาความจริงและกระทำทารุณกรรมฟ่านซุยจนกระดูกขาหักสลบไป
เว่ยฉีเข้าใจว่าฟ่านซุยตายแล้วจึงให้นำไปขังไว้ในห้องอาจม เมื่อฟ่านซุยฟื้นมาจึงได้ติดสินบนผู้คุม หลบหนีออกจากที่กักขังได้
กลับถึงบ้านก็วางแผนให้ภรรยาจัดงานศพของตนเพื่อลวงเว่ยฉี
ส่วนตัวเองก็ได้หลบหนีไปพำนักรักษาตัวอยู่กับเพื่อนรักนามเจิ้นอันผิงจนกระทั่งหายเป็นปกติ
เปลี่ยนชื่อเป็นจางลู่หลบช่อนเร้นภัยจากเว่ยฉีอยู่บนภูเขา
ฉินเจาหวางส่งหวางจีเป็นทูตมายังแคว้นเว่ย
หวางจีได้ทราบเรื่องว่าฟ่านซุยถูกทำร้ายจึงตามหาจนกระทั่งพบชักชวนให้ไปอยู่แคว้นฉินกับตน
หวางจีแนะนำตัวฟ่านซุยต่อฉินเจาหวาง
ฟ่านซุยได้แสดงออกถึงภูมิรู้และความสามารถจนเป็นที่พอใจของฉินเจาหวางอย่างยิ่ง
ฉินเจาหวางจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นเสนาบดีกลาโหมเพื่อดำเนินงานที่สำคัญคือการยึดครองแคว้นทั้งหก
ฟ่านซุยจึงเสนอกลยุทธ์ “สามัคคีแคว้นไกล โจมตีแคว้นใกล้”
โดยวางแผนการให้แคว้นฉินเจรจาเป็นมิตรกับแคว้นฉีและฉู่ ตระเตรียมการยึดครองแคว้นหานและเว่ย รวมทั้งตั้งเป้าการยึดครองแคว้นเจ้าและเอี้ยนไว้เป็นลำดับต่อไป
เมื่อยึดครองทั้งสี่แคว้นนี้ได้แล้วจึงค่อยยึดแคว้นฉีและฉู่เป็นอันดับสุดท้าย
ในที่สุดฟ่านซุยก็ได้รับความไว้วางใจจากฉินเจาหวางให้เป็นผู้ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่เขาเสนอไปดังกล่าว
ที่แคว้นฉี-เมิ่งฉางจวินผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ครองเมืองเซียต่อจากเถียนอิงผู้บิดา
ได้ถูกส่งตัวไปเป็นตัวประกันอยู่ที่แคว้นฉิน
หลังจากที่หนีกลับมาได้ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี
ฉินเจาหวางรู้ดีว่าเมิ่งฉางจวินเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง
หากอยู่ในตำแหน่งก็อาจทำให้แคว้นฉีมีความเข้มแข็งขึ้น เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมฉินเจาหวางจึงวางแผนส่งคนมายุยงจนกระทั่งฉีอ๋องเกิดความริษยาและไม่ไว้วางใจเมิ่งฉางจวิน
(แต่หลักฐานบางกระแสบันทึกว่าเมิ่งฉางจวินได้ร่วมมือกับเชื้อพระวงศ์บางคนคิดก่อการขบถ)
ฉีหวางจึงสั่งปลดเมิ่งฉางจวินออกจากตำแหน่ง
เมิ่งฉางจวินจึงหลบไปอยู่ที่เมืองเซีย
เมื่อเดินทางไปถึงชาวเมืองทั้งหมดได้ให้การต้อนรับและให้การคุ้มครองเป็นอย่างดี จนเป็นที่แปลกใจของเมิ่งฉางจวินเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะบริวารคนหนึ่งที่ชื่อเฝิงฮวนได้หาทางหนีทีไล่ไว้ให้แล้วด้วยแผน
“กระต่ายปัญญาดีต้องมีสามโพรง” ซึ่งกำหนดให้เมืองเซียเป็นโพรงแรกสำหรับหลบลี้ภัย
แผน “กระต่ายปัญญาดีต้องมีสามโพรง” นี้
เป็นแผนที่ถูกเฝิงฮวนกำหนดขึ้น
โดยที่ตัวของเมิ่งฉางจวินไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้า เรื่องของเรื่องนั้นมีอยู่ว่า
ครั้งหนึ่งเมิ่งฉางจวินสั่งให้บริวารไปเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ของตนที่เมืองเซีย เพื่อนำกลับมาใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบริวาร
เฝิงฮวนรับอาสาที่จะไปทำหน้าที่นี้พร้อมทั้งสัญญาว่าเมื่อกลับมาจะนำของขวัญที่มีค่ากลับมาให้ด้วย
เมื่อเดินทางไปถึงเมืองเซียแทนที่เฝิงฮวนจะรีบเก็บดอกเบี้ยในทันที
กลับเก็บเอาบัญชีเงินกู้ของลูกหนี้ที่ยากจนซึ่งยากที่จะใช้หนี้ได้ มาเผาทิ้งเสีย
พร้อมทั้งประกาศว่าการที่เมิ่งฉางจวินให้ชาวเมืองเซียกู้เงินนั้นเป็นการให้ความช่วยเหลือ
มิได้หวังจะค้ากำไรจากชาวเมือง จากนั้นเฝิงฮวนก็กลับเมืองหลวงด้วยมือเปล่าเข้ารายงานต่อเมิ่งฉางจวิน ถึงแม้เมิ่งฉางจวินจะไม่ค่อยพอใจการกระทำของเฝิงฮวนนักแต่เขาก็มิได้กล่าวโทษอะไร ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียอำนาจนั่นแหละจึงรู้ว่าของขวัญที่เฝิงฮวนนำมาให้นั้นมีค่าอย่างไร
จากนั้นเฝิงฮวนจึงวางแผนสร้างโพรงที่สองและสามให้
โดยการเดินทางไปแคว้นฉิน
พูดเกลี้ยกล่อมจนฉินเจาหวางส่งคนไปเชิญตัวเมิ่งฉางจวินไปรับราชการที่แคว้นฉิน จากนั้นจึงเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นฉี
แจ้งข่าวฉินเจาหวางกำลังส่งคนมาเชิญเมิ่งฉางจวิน ฉีหมิ่นหวางส่งคนไปสืบดูเห็นเป็นจริงดังที่เฝิงฮวนบอก
จึงรีบส่งคนไปเชิญตัวเมิ่งฉางจวินกลับเมืองหลวง
คืนตำแหน่งให้พร้อมทั้งยกเมืองบำนาญให้อีกพันครัวเรือน
ทำให้สถานะทางการเมืองในแคว้นฉีของเมิ่งฉางจวินมีความมั่นคงขึ้น
ในภาพยนตร์ชุดศึกชิงเจ้าปฐพี
หลังจากที่เมิ่งฉางจวินเดินทางไปอยู่เมืองเซียได้ระยะหนึ่งก็เดินทางไปยังแคว้นเว่ย
พำนักอยู่กับซิ่นหลิงจวินผู้เป็นสหาย ช่วยเหลือให้ซิ่นหลิงจวินมีฐานะมั่นคงอยู่ในแคว้นเว่ย
พร้อมกันนั้นก็ได้ช่วยกันกำจัดฟ่านซุยออกจากแคว้นเว่ยได้สำเร็จ
ในปี พ.ศ.259
เอี้ยนเจาหวางแต่งตั้งเล่ออี้เป็นแม่ทัพเข้าตีแคว้นฉี เล่ออี้ยกทัพรุกเข้าดินแดนแคว้นฉียึดเมืองต่างๆ
ของแคว้นฉีได้มากกว่าเจ็ดสิบหัวเมือง
จากนั้นก็บุกเข้าตีนครหลินจือเมืองหลวงแคว้นฉี
ฉีหมิ่นหวางหลบหนีไปอยู่ที่เมืองหลี่ใกล้แคว้นฉู่
และถูกขุนพลแคว้นฉู่ฆ่าตาย
เมิ่งฉางจวินต้องเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ แต่แคว้นฉียังคงไม่ถึงคราวพินาศ
ดังนั้นในการสงครามครั้งนี้จึงเกิดมีวีรบุรุษขึ้นมาคนหนึ่งคือ “อันผิงจุนเถียนตัน”
ซึ่งสามารถรวบรวมกำลังทหารต่อสู้ต้านทานกองทัพแคว้นเอี้ยนอย่างเหนียวแน่นอยู่ที่เมืองจี๋ม่อ
จากนั้นจึงวางแผนปล่อยข่าวให้เอี้ยนเจาหวางเกิดความระแวงในตัวของเล่ออี้และส่งซีเจี่ยมาเป็นแม่ทัพแทน เล่ออี้ต้องหลบหนีไปอยู่แคว้นเจ้า
เมื่อสิ้นเล่ออี้อันผิงจุนเถียนตันก็สามารถตีทัพของซีเจี่ยจนแตกพ่ายกลับไป ยึดเมืองต่างๆ
ที่ทัพเอี้ยนยึดครองเอาไว้คืนมาได้ทั้งหมด
แต่ก็มิอาจที่จะทำให้แคว้นฉีฟื้นตัว
ขึ้นมาได้อีกเลย
ทางด้านแคว้นฉู่
ฟ่านซุยได้วางแผนเป็นมิตรไม่รุกรานซึ่งกันและกันตามกลยุทธ์ “สามัคคีแคว้นไกล
โจมตีแคว้นใกล้” โดยการวางแผนสร้างบุญคุณต่อสงอ๋วนบุตรของฉู่ชิ่งเซียงหวางผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นรัชทายาท
ฟ่านซุยใช้แผนเปิดโอกาสให้สงอ๋วนซึ่งขณะนั้นถูกส่งไปเป็นตัวประกันอยู่ที่แคว้นฉินสามารถหลบหนีกลับแคว้นฉู่เพื่อดูแลบิดาเป็นครั้งสุดท้ายได้
ทำให้สงอ๋วนเกิดความซาบซึ้งในบุญคุณของฟ่านซุยและฉินเจาหวาง
เมื่อสงอ๋วนได้ขึ้นครองแคว้นฉู่เป็นฉู่เซี่ยวเลี่ยหวางจึงยอมรับสถานภาพความเป็นมิตรกับแคว้นฉิน
เปิดโอกาสให้แคว้นฉินทำสงครามยึดครองแคว้นหานและแคว้นเจ้าโดยไม่ต้องพะวงกับแคว้นฉู่
ในปี พ.ศ.281
ฉินเจาหวางให้หวางเฮ่อเป็นแม่ทัพ
นำกองทัพฉินบุกแคว้นหาน จากนั้นก็ยกเข้าประชิดด่านฉางผิงของแคว้นเจ้า แคว้นเจ้าส่งแม่ทัพเหลียนพอไปตั้งรับ
เหลียนพอใช้กลยุทธ์ตั้งรับโดยไม่รบปล่อยให้ทัพฉินอ่อนกำลังไปเอง ทัพฉินล้อมอยู่ถึงสามปีก็มิอาจตีฉางผิงแตกได้
ฟ่านซุยจึงใช้แผนส่งไส้ศึกไปปล่อยข่าวและยุยงให้เจ้าเซี่ยวเฉิงหวางไม่พอใจเหลียนพอ และปลดเหลียนพอออกจากตำแหน่ง
จากนั้นก็ส่งเจ้าควอไปเป็นแม่ทัพแทน
เมื่อเจ้าควอรับตำแหน่งแม่ทัพก็ให้เปลี่ยนกลยุทธ์เสียใหม่จากการตั้งรับเป็นรุก
เปิดโอกาสให้ทัพฉินซึ่งส่งไป๋ฉี่มาเป็นแม่ทัพแทนหวางเฮ่อ
เผด็จศึกฉางผิงได้อย่างรวดเร็วแล้วเคลื่อนทัพใหญ่เข้าล้อมเมืองหลวงหานตานของแคว้นเจ้าเอาไว้ในปี
พ.ศ.283
เมื่อการณ์กลับเป็นเช่นนี้
เจ้าเซียงผิงหวางซึ่งขึ้นครองแคว้นเจ้า แทนเจ้าเซี่ยวเฉิงหวาง
ก็ต้องทำตามแผนการของผิงหยวนจวินที่ให้ขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่และแคว้นเว่ย
อันเป็นการร่วมมือเป็นพันธมิตรต่อต้านฉินเป็นครั้งสุดท้ายของแคว้นต่างๆ
ทั้งหกแคว้น
เพราะหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้วก็ไม่มีอีกเลยที่จะเกิดมีพันธมิตรต่อต้านแคว้นฉินขึ้น
ผิงหยวนจวินเดินทางไปเจรจาข้อความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่พร้อมด้วยบริวาร
20 คน โดยมีบริวารคนหนึ่งชื่อเหมาสุยเป็นผู้ที่ช่วยเหลือให้การเจรจาจนประสบความสำเร็จ
เหมาสุยใช้ทั้งวิธีการขู่บังคับและพูดจาเกลี้ยกล่อมจนฉู่เซี่ยวเลี่ยหวางยอมช่วยแคว้นเจ้า
โดยให้ซุนเซินจุนเป็นแม่ทัพยกทหารแปดหมื่นไปช่วยแคว้นเจ้า
จากนั้นผิงหยวนจวินก็เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นเว่ย ฉินเจาหวางจึงส่งคนไปขู่มิให้เว่ยอันหลีอ๋องส่งกองทัพไปช่วย
เว่ยอันหลีหวางจึงให้แม่ทัพจิ้นที่กำลังจะยกทัพเว่ยไปช่วยแคว้นเจ้าหยุดทัพก่อน
ซุนเซินจุนรู้ข่าวว่าทัพเว่ยหยุดรออยู่ยังไม่ยกไปช่วยแคว้นเจ้าจึงหยุดทัพของตนบ้าง
ผิงหยวนจวินรู้ข่าวจึงเดินทางไปหาซิ่นหลิงจวิน
ขอร้องให้ซิ่นหลิงจวินช่วยเกลี้ยกล่อมเว่ยอันหลีหวาง ผิงหยวนจวินเกลื้ยกล่อมไม่สำเร็จ
จึงขอความช่วยเหลือจากนางหยูจีหม่อมคนโปรดของเว่ยอันหลีหวาง
นางหยูจีรำลึกถึงบุญคุณของซิ่นหลิงจวินเมื่อครั้งที่เขาเคยช่วยจับฆาตกรที่ฆ่าบิดาของนาง
นางจึงขโมยตราอาญาสิทธ์บัญชาการกองทัพเว่ยของเว่ยอันหลีหวางมาให้
ซิ่นหลิงจวินจึงใช้ตราอาญาสิทธ์บัญชาการทัพยึดอำนาจบัญชาการทัพจากจิ้นปี่ เคลื่อนพลไปช่วยแคว้นเจ้าทันที
ฝ่ายซุนเซินจุน
เมื่อเห็นว่าแคว้นเว่ยเคลื่อนทัพไปช่วยแคว้นเจ้าแล้ว
จึงสั่งเคลื่อนทัพของตนเข้าตีกระหนาบแคว้นฉินอีกทางหนึ่งทันที เป็นผลให้ทัพฉินถูกตีกระหนาบทั้งสามด้านแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน
แคว้นฉินต้องสูญเสียดินแดนแถบเหอตงที่เคยยึดจากแคว้นเว่ยคืนให้แคว้นเว่ยไป สูญเสียดินแดนแถบไท่หยวนให้กับแคว้นเจ้า
ปล่อยให้แคว้นฉู่หลงลำพองไปได้อีกระยะหนึ่ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หาได้ทำให้แคว้นฉินอ่อนแอลงไปไม่
สงครามครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสำคัญที่ปรากฏในภาพยนตร์ชุดศึกชิงเจ้าปฐพี
บทบาทของฟ่านซุยในการช่วยแคว้นฉินรวมเผ่นดินจีนก็ยุติลงหลังสิ้นสงคราม ตามในภาพยนตร์ฟ่านซุยถูกผิงหยวนจวิน
ซิ่นหลิงจวินและสมัครพรรคพวกร่วมมือกันกำจัด
ด้วยเหตุที่ฟ่านซุยได้เพาะความแค้นให้กับคนกลุ่มนี้ไว้มาก
ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามครั้งนี้
ฉินและเจ้าได้ทำสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันและแลกตัวประกันกันอยู่
ตัวประกันของแคว้นฉินที่ถูกส่งมายังแคว้นเจ้า
ได้แก่อิ๋งอี้เหรินบุตรผู้หนึ่งของอันกว๋อจุนรัชทายาทของฉินเจาหวาง
ในระหว่างสงครามอิ๋งอี้เหรินถูกควบคุมตัวและได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากผู้ปกครองแคว้นเจ้าเป็นอย่างมาก
หลังจากสงครามยุติลงแล้วได้ปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้นในนครหานตานเมืองหลวงแคว้นเจ้า บุคคลผู้นี้เป็นพ่อค้ามาจากเมืองผูหยางนาม-หลี่ปู้เหว่ย
เขาเดินทางมานครหานตานครั้งนี้เพื่อที่จะประกอบการค้าที่เป็นอาชีพครั้งสุดท้ายในชีวิต
ขณะเดียวกันเขาก็คิดการประกอบการค้าชิ้นใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมขึ้นที่นี่
และนี่คือบทเริ่มต้นของการประกอบ “ธุรกิจการเมือง”
ของนักการเมืองผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น