ปฐมบท :
บนฟากฝั่งแม่น้ำสองสายนี้มีชีวิตและตำนาน
ลำน้ำสองสายทอดกายขนานพาดผ่านผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล
จากเทือกเขาและที่ราบสูงทางทิศตะวันตกสู่ห้วงมหาสมุทรในเบื้องบูรพทิศ
ดูประหนึ่งมังกรยักษ์คู่หนึ่งซึ่งเผ่นโผนโจนทะยานผ่านขุนเขาหุบเหวห้วย
ทุ่งหญ้า ทะเลทราย แลทุ่งราบอันกว้างใหญ่ไปสู่ผืนน้ำที่ไกลลิบสุดสายตาฉะนั้น
ลำน้ำสองสายที่ทอดกายยาวเหยียดแตกกิ่งก้านสาขากระจายไปทั่วผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ดูคล้ายประหนึ่งเส้นโลหิตหล่อเลี้ยงชีวิตของผืนแผ่นดินให้คงอยู่ยืนยาวจนกลายเป็นอมตะ
นับแต่อดีตกาลยาวนานโพ้นจนกระทั่งปัจจุบัน
ชีวิตอันมากมายได้ถือกำเนิด
เติบโตและดับสลายอยู่บนสองฟากฝั่งของลำน้ำทั้งสองสาย ณ ที่นี้
พวกเขาได้รังสรรค์สั่งสมและถ่ายทอดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า
รุ่นแล้วรุ่นเล่า
จนเรื่องราวของพวกเขาได้รับการบอกเล่ากลายเป็นตำนาน และนิยายที่เล่าขานกันไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นตำนาน
และนิยายแห่งชีวิตและการต่อสู้
บนสองฟากฝั่งของลำน้ำทั้งสองสายจึงเป็นแหล่งที่มีเรื่องเล่า
มีตำนาน มีนิยายแห่งชีวิตและการต่อสู้ปรากฏอยู่ทุกหัวระแหง
เป็นเรื่องราวแห่งการต่อสู้เพื่อเอาชีวิต
เพื่อผลประโยชน์ และเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธภพของพวกเขา
เป็นเรื่องราวของการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดผลทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานไกลนับพันนับหมื่นปี
แม่น้ำทั้งสองสายทั้งสองสายนี้
คือหวงเหอ(ฮวงโห)และฉางเจียง(แยงซี)
หลู่ซิ่น บิดาแห่งวรรณคดีจีนสมัยใหม่กล่าวถ้อยคำอมตะไว้ว่า
“ข้าพเจ้าเปิดประวัติศาสตร์ดู
ประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้บันทึกว่าเป็นของปีไหนศกไหน ทุกๆ หน้าเขียนไว้ด้วยตัวอักษรตลบตะแลงว่า
‘เมตตาจิต,
ความสัตย์, ศีลธรรม’ ข้าพเจ้านอนยังไงๆ
ก็ไม่หลับ เพ่งพินิจอยู่ครึ่งคืน จึงได้เห็นตัวอักษรจากแถวอักษรที่เรียงไว้ทั้งเล่ม
มันเขียนไว้ด้วยหนังสือสองตัวว่า ‘กินคน’…”
(สำนวนแปล เดชะ บัญชาชัย)
ที่‘กินคน’ล้วนสืบเนื่องมาจากคำ
“อำนาจ” และ “ผลประโยชน์”
เป็นอำนาจที่มีผู้คนไม่น้อยมุ่งแสวงหาและรักษาไว้กับตนและพวกพ้อง
เป็นอำนาจที่พวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าเป็นที่มาของผลประโยชน์นานัปการ
เจ้าสำนักบู๊ตึ้ง-ชงฮือเต้าเจี้ยง
แห่ง “กระบี่เย้ยยุทธจักร” ได้เคยกล่าวกับเหล็งฮู้ชงว่า
“นับแต่โบราณกาลมา ไม่ทราบมีวีรบุรุษผู้กล้ามากน้อยเท่าใด ยากผ่านด่านอำนาจได้ อย่าว่าแต่เป็นฮ่องเต้ ในยุทธจักรที่เกิดการแก่งแย่งชิงดี
ปั่นป่วนด้วยมรสุม ล้วนสืบเนื่องจากคำ ‘อำนาจ’ ทั้งสิ้น”
(สำนวนแปล น.
นพรัตน์)
อำนาจ- คำๆ
นี้นับมีอำนาจและหอมหวานยิ่งที่เหล่าผู้คนในยุทธภพล้วนใคร่ที่จะให้เกิดมีขึ้นกับตน
พวกเขาปรารถนาที่จะเสพย์ เมื่อได้เสพย์ก็ติดใจ
ยิ่งเสพย์ยิ่งติดจนมิอาจไถ่ถอนตัวให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งอำนาจนั้นได้
มีอำนาจอยู่เหนือผู้คนเพียงจำนวนน้อยก็ปรารถนาที่จะมีให้มากขึ้น
เมื่อมีมากขึ้นแล้วก็ปรารถนาจะมีให้มากขึ้นอีก
จนถึงที่สุดก็อยากที่จะมีให้มากที่สุดเหนือผู้คนทั้งแผ่นยุทธภพ
และเมื่อมีอำนาจสมดั่งความปรารถนาแล้วก็ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะรักษาอำนาจนั้นให้คงอยู่กับตนตราบนานเท่านาน
ยุทธการแห่งการแสวงหาและรักษาอำนาจของผู้คนในยุทธภพล้วนได้รับการจดจารและเล่าขานสืบต่อกันมาไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นยุทธการที่บางครั้งอาจดูคล้ายกับมีความยุติธรรมแลกอปรด้วยคุณธรรมยิ่ง
และบางครั้งก็ดูคล้ายกับไร้คุณธรรมยิ่ง
หวงตี้-
ปฐมกษัตริย์ของจีน เป็นหนึ่งในห้ากษัตริย์ในยุคแรกๆ ที่ชาวจีนถือเป็นผู้ทรงคุณธรรม
มีความเฉลียวฉลาดและความสามารถยิ่ง
แต่การก้าวขึ้นสู่ความเป็นกษัตริย์ไยมิใช่หวงตี้ต้องปราบปรามทำลายชีวิตผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยไปจำนวนไม่น้อย
การสืบทอดอำนาจจากหวงตี้สู่จวนซู่
ตี้คู้ ถังเหยา(เงี้ยวเต้) อี๋ซุ่น(ซุ่นเต้) และหยู
อาจยึดหลักการคัดเลือกคนดีมีความสามารถ
แต่ในที่สุดฉี่ซึ่งเป็นลูกชายของหยูก็ทำลายกฎเกณฑ์ที่ดูดีงามนี้เสีย เปลี่ยนแปลงการสืบทอดอำนาจสูงสุดทางการปกครองเป็นระบอบจากพ่อไปสู่ลูก สร้างธรรมเนียมปฏิบัติในรูปแบบใหม่ที่ยึดถือสืบทอดต่อมานับพันปีได้สำเร็จ
ที่ฉี่กระทำเยี่ยงนี้ล้วนเนื่องจากคำ
‘อำนาจ’
เนื่องเพราะคำ‘อำนาจ’ตลอดระยะเวลาเกือบพันปีในยุคชุนชิว-
จ้านกว๋อ แผ่นดินจีนจึงถูกแบ่งเป็นแคว้นต่างๆ
เกิดสงครามระหว่างแคว้นครั้งแล้วครั้งเล่ามิเคยขาด
ภายในแต่ละแคว้นก็เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจอยู่เสมอๆ
ชีวิตผู้คนจำนวนนับล้านล้วนถูกทำลายล้างเพียงเพื่อให้คนบางคนบางกลุ่มได้เสวยอำนาจเท่านั้น
ปลายยุคจ้านกว๋อ
ฉินหวางเจิ้งอาจเป็นผู้ที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด
สามารถใช้ผู้คนต่อสู้เอาชัยเหนือเจ้าผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ได้สำเร็จ สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวของแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลได้สำเร็จ
แต่ชีวิตผู้นับล้านที่จบสิ้นไปกลับเป็นเพียงบันไดก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจของฉินหวางเจิ้งเท่านั้น
เล่าปังที่เป็นชนชั้นชาวนาในปลายราชวงศ์ฉินอาจลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจทรราชย์ของฉินหวางเจิ้งเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมอย่างน่ายกย่องยิ่ง แต่เมื่อเล่าปังเริ่มรู้จักกับคำ “อำนาจ”
การณ์กลับเป็นว่า “การลุกฮือขึ้นต่อต้านทรราช”
ของเล่าปังและพวกกลับเป็นเพียงการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจที่เหยียบย่ำไปบนกองกระดูก
โลหิตและหยาดน้ำตาของผู้คนเท่านั้น
ถึงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นของเล่าปัง
เมื่อผู้นำอ่อนแอและมีการกดขี่ข่มเหงขูดรีดประชาชนมากขึ้น
สงครามใหญ่เพื่อการแย่งชิงอำนาจจึงเกิดขึ้นอีกครา
กลายเป็นเรื่องราวการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของ “สามก๊ก”
ที่กินเวลายาวนานกว่ากึ่งศตวรรษ
ทั้งโจโฉ
เล่าปี่ ซุนกวน ที่เป็นผู้นำก๊กทั้งสาม
มิว่าพวกมันจะให้วาทะกล่าวอ้างเพื่อสร้างความถูกต้องให้กับการกระทำของตนเยี่ยงไร
แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันล้วนเพียงเพื่อให้ได้ลิ้มรสกับคำ “อำนาจ”
และได้มีเวลาในการเสวยอำนาจได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้
ยังมีอีก-
พ่อลูกสุยเหวินตี้ สุยหยางตี้ แห่งราชวงศ์สุย พ่อลูกตระกูลหลี่-
หลี่เอียนและหลี่ซื่อหมินล้มล้างทรราชสุยหยางตี้
สถาปนาราชวงศ์ถังขึ้นปกครองแผ่นดินจีน สิ้นอำนาจตระกูลหลี่แผ่นดินจีนก็แตกแยกเปิดโอกาสให้เจ้าควงอิ้นสถาปนาราชวงศ์ซ่งขึ้นมีอำนาจแทน
พวกเขาล้วนแต่เหยียบย่ำไปบนกองกระดูกอันขาวโพลน โลหิตอันแดงฉาน
และคราบน้ำตาของผู้คนเพื่อการก้าวขึ้นสู่การมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินทั้งสิ้น
............
ยังมีอีกมากมายนัก-
ฯลฯ
การต่อสู้เพื่อ
“อำนาจ” ของผู้คนเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นด้วยข้ออ้าง ‘เพื่อความสุขสงบของปวงประชา
เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ’ เยี่ยงเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วไยมิใช่เป็นไปเพื่อการมีและรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเยี่ยงเดียวกันทั้งสิ้น
บุคคลเหล่านี้มีบ้างได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ
มีไม่น้อยที่ถูกประณามย่ำเหยียบเป็นทรราช
แต่เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมอย่างถ่องแท้
มีที่ใดที่ผิดแผกแตกต่างกันบ้าง?
ใครเล่าคือวีรบุรุษ ใครเล่าเป็นทรราช?
เมื่อมีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่า
“กระบี่เย้ยยุทธจักร”
เป็นยุทธจักรนิยายที่เขียนขึ้นเพื่อวิพากษ์วิจารณ์การเมืองการปกครองของจีนในยุค “ปฏิวัติวัฒนธรรม”
ของเหมาเจ๋อตง
กิมย้งกลับอธิบายเหตุผลในการประพันธ์ยุทธจักรนิยายเรื่องนี้ไว้ว่า
“นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาโจมตีการปฏิวัติวัฒนธรรม
หากแต่อาศัยตัวละครในหนังสือตีแผ่ปรากฏการณ์โดยทั่วไปในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของจีน
ซึ่งดำเนินติดต่อกันมาสามพันกว่าปี
นิยายที่เขียนโจมตีไม่มีความหมายเท่าใด
เหตุการณ์ทางการเมืองผันผวนอยู่ทุกเมื่อ มีแต่การตีแผ่ธาตุแท้ใจคอคน
จึงมีคุณค่าระยะยาวกว่า การแก่งแย่งชิงอำนาจโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่ง
เป็นสภาพการณ์ขั้นพื้นฐานในชีวิตทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ หลายพันปีที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้
หลายพันปีให้หลังเกรงว่ายังคงเป็นเช่นนี้
(สำนวนแปล น. นพรัตน์)
ในสายตาของกิมย้ง ตัวละครที่ท่านรังสรรค์ขึ้นมา
แม้จะเป็นชนชาวบู๊ลิ้มแต่ย่อมมิใช่ชนชาวบู๊ลิ้มโดยแท้จริง
“ยิ่มอั้วเกี้ย ตังฮึงปุกป่าย
งักปุกคุ้งและจ้อแนเซี้ย ขณะที่ข้าพเจ้านึกวาดมโนภาพไม่ใช่ยอดฝีมือชาวบู๊ลิ้ม แต่เป็นนักการเมือง ลิ้มเพ้งจื๊อ เฮี่ยงมุ่งเทียน เจ้าอาวาสปึงเจ่ง
ชงฮือเต้าเจี้ยง เตี้ยเอ้ยซือไถ่ มกไต้ซิงแซ อื้อชังไฮ้ ทั้งหลายก็เป็นนักการเมือง
บุคคลหลากสีหลากสันเหล่านี้ มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย คาดว่ามีอยู่ในประเทศอื่นด้วย”
(สำนวนแปล น. นพรัตน์)
กระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้งจึงย่อมมิใช่เป็นเพียงเรื่องราวการต่อสู้ของชนชาวบู๊ลิ้ม
แต่กลับเป็นนิยายที่สะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของผู้คนในยุทธจักรการเมืองจีน
(หรือแม้แต่ในยุทธจักรการเมืองของอีกหลายๆ ประเทศ)
ที่เป็นมาติดต่ออย่างยาวนานหลายพันปีและจะมีต่อไปอีกในอนาคตอันยาวนานเบื้องหน้าสืบไป
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในวงบู๊ลิ้มของเหล่าจอมยุทธทั้งที่อ้างตนเป็นผู้มีคุณธรรมและผู้ที่ถูกประณามเป็นฝ่ายอธรรม
เหล่านี้ล้วนหาได้มีวิธีการที่แตกต่างกันไม่
ระหว่างจ้อแนเซี้ยงที่คลั่งไคล้ในอำนาจอย่างออกหน้าออกตากับงักปุกคุ้งที่มีเบื้องหน้าเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมความดีงามยิ่งล้วนมีธาตุแท้นิสัยใจคอเยี่ยงเดียวกันทั้งสิ้น
และเยี่ยงเดียวกันกับผู้นำทางการเมืองที่มีมาแล้วแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน
อ่านกระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้งเรื่องหนึ่งจึงเท่ากับอ่านธาตุแท้จิตใจผู้คนที่เป็น
“นักการเมือง” ทั้งในประวัติศาสตร์สามพันกว่าปีของจีนและในประวัติศาสตร์การเมืองของชาติต่างๆ
ได้เกือบทั้งสิ้น
ไม่ว่ามันผู้ใดจะประกาศตนเป็นผู้มีคุณธรรมหรือถูกประณามหยามเหยียดเป็นอธรรม
มิว่าจะได้รับการยกย่องเป็นเทพยึดถือเป็นมารจึงล้วนหามีข้อแตกต่างกันสักกี่มากน้อยไม่
จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ผู้ใดจะสามารถ “สร้างภาพ” ของตนให้เป็นที่ “ต้องตาต้องใจ”
แก่บุคคลผู้มี “อำนาจ” ในการตัดสินความชั่วดีถูกผิดให้กับพวกเขาเท่านั้นเอง
ในวงการเมือง-
ธรรมและอธรรม เทพและมาร คนดีงามและชั่วร้าย จึงอาจเป็นเพียงคำตัดสินของ “กลุ่มผลประโยชน์”
ที่มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมืองและนักการเมืองเท่านั้นเอง
วีรบุรุษและทรราชในประวัติศาสตร์การเมืองจึงคล้ายเป็นเพียงภาพมายาที่สร้างขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ที่ล้วนมีแง่มุมในการมองและการรักษาผลประโยชน์ของตนเองของผู้เขียนหรือบันทึกประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
กิมย้งเขียนนิยายเรื่อง
“จิ้งจอกภูเขาหิมะ”
โดยอ้างอิงเรื่องราวในรัชสมัยเฉียนหลงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ชิงเป็นมิติแห่งเวลาในเรื่อง
แต่กลับอ้างอิงพัวพันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนับแต่ปลายสมัยราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา
ในตอนท้ายของเรื่องกิมย้งกำหนดให้ตัวละครที่เป็นบุคคลในยุคหลังเล่าเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างตระกูลที่สร้างสมความแค้นสืบต่อให้กับทายาทรุ่นหลัง ผู้ที่เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นล้วนอ้างตนเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสิ้น
แต่เนื้อของเรื่องบางครั้งก็ดูคล้ายกับเป็นคนละเรื่องกัน
ทั้งนี้อาจเนื่องเพราะคนผู้หนึ่งแม้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง
แต่ใช่ว่าจะสามารถรู้เห็นเบื้องหลังของเหตุการณ์นั้นได้ทั้งหมด
อีกทั้งบางคนกลับมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย เยี่ยงนี้ในการเล่าข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์เดียวกันของพวกเขาจึงอาจเล่าเฉพาะแง่มุมที่ตนเองรู้เห็นและเป็นผลประโยชน์กับตน
สิ่งที่อาจเป็นผลเสียหรือเป็นความผิดพลาดของตนและพวกพ้องจึงยากที่จะถูกผู้คนเหล่านั้นบันทึกจดจำไว้
ที่แท้บันทึกประวัติศาสตร์ไยมิเป็นเฉกเดียวกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวเดียวกันผ่านการบันทึกจดจารของผู้คนแต่ละคนจึงอาจมีสาระที่แตกต่างกันไปตามเป้าหมาย
ทัศนะ และการรับรู้ของผู้บันทึกหรือเล่าแต่ละคน
ยากที่จะยึดถือเป็นผิดเป็นถูกได้อย่างแน่ชัดได้ แม้ผู้บันทึกนั้นจะถูกเรียกว่าเป็น
‘นักประวัติศาสตร์’ ก็ตาม
เยี่ยงนี้-
เหตุการณ์ในบันทึกประวัติศาสตร์กับเรื่องราวในนิยาย
มีใครสามารถบอกได้ว่าไหนจริงไหนเท็จ?
เยี่ยงนี้-
บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีการจดจารบันทึกไว้
มีผู้สามารถบอกได้ว่าใครดีงามใครชั่วร้าย ใครคือเทพใครคือมาร?
บางครั้ง, ในความเท็จอาจซุกซ่อนความจริงอย่างใหญ่หลวงเอาไว้
และมีไม่น้อยที่ในสิ่งที่ผู้คนยึดถือเป็นความจริงกลับซุกซ่อนความเท็จอันร้ายกาจไว้ในระหว่างบรรทัดอย่างน่าสนใจยิ่ง
ระหว่างนิยายกับตำราประวัติศาสตร์มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าอย่างไหนเป็นความเท็จอย่างไหนเป็นความจริง?
บางครั้ง, เบื้องหลังของผู้คนที่ได้รับการยกย่องเป็นคนดีงาม
มีคุณธรรมความสัตย์ซื่อเป็นอย่างยิ่ง อาจเป็นคนเลวร้ายฉ้อฉลผู้หนึ่ง
เยี่ยงเดียวกับคนชั่วร้ายฉ้อฉลก็อาจมีบางด้านที่มีความดีงามอยู่บ้าง ในสายตาของบุคคลบางกลุ่ม-
ฉินหวางเจิ้งอาจนับเป็นทรราชชั่วช้ายิ่ง แต่สำหรับบางกลุ่มอาจยึดถือพระองค์เป็นวีรบุรุษหาญกล้าเป็นมหาราช
โจโฉอาจเป็นคนต่ำช้าในสายตาของผู้คนบางกลุ่ม
ในขณะที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยถือนักบริหารชั้นยอดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนยกย่องหลี่ซื่อหมินหรือถังไทจงฮ่องเต้เป็นมหาราช
ประณามสุยหยางตี้เป็นทรราช ทั้งๆ ที่ทั้งสองล้วนมีพฤติกรรมในบางด้านที่คล้ายกัน
ล้วนประหัตประหารญาติพี่น้องเพียงเพื่อการมีอำนาจเยี่ยงเดียวกัน!
ที่แท้เยี่ยงไรจึงจะสามารถนับเป็นคนดี
เยี่ยงไรจึงจัดเป็นคนเลว?
นักการเมืองเยี่ยงไรจึงสามารถจัดเป็นนักการเมืองที่ดี
และนักการเมืองเยี่ยงไรจึงสมควรจัดเป็นนักการเมืองที่เลว?
กิมย้งพยายามให้ข้อสรุปแก่เรา:-
“บุคคลที่ชาญฉลาดเจ้าปัญญา
ผู้ที่ห้าวหาญมีกำลัง ส่วนใหญ่ล้วนมักใหญ่ใฝ่สูง
บรรทัดฐานของธรรมจริยาแบ่งแยกพวกเขาเป็นคนสองประเภท
ผู้ที่มีเป้าหมายอยู่ที่สร้างสรรค์ความสุขส่วนรวม นับเป็นคนดี ผู้ที่เห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ส่วนตนทำร้ายถึงผู้อื่น
นับเป็นคนเลว
ความเป็นคนดีหรือเลวใหญ่หลวงเพียงไหนขึ้นอยู่กับระดับและจำนวนของการเอื้ออำนวยประโยชน์
และสร้างความเสียหายขึ้น”
(สำนวนแปล น. นพรัตน์)
เยี่ยงนี้, ระหว่างฉินหวางเจิ้งหรือจิ๋นซีฮ่องเต้กับเล่าปัง ระหว่างสุยหยางตี้กับหลี่ซื่อหมิน
หรือระหว่างมหาราชและทรราชในประวัติศาสตร์อีกจำนวนหนึ่ง
บางครั้งจึงอาจแยกออกให้เห็นได้ว่าใครเป็นผู้ดีงามหรือชั่วร้าย แต่หากเป็นเยี่ยงงักปุกคุ้ง ยิ่มอั้วเกี้ย
ตังฮึงปุกป่าย จ้อแน้เซี้ย และ ฯลฯ ในกระบี่เย้ยยุทธจักรเล่า
มีผู้ใดสมควรนับเป็นผู้มีคุณธรรมความดีงามอย่างแท้จริงได้?
เรื่องราวชีวิตผู้คนบนสองฟากฝั่งของหวงเหอและฉางเจียงนับแต่โบราณกาลที่ถูกการบันทึกไว้ทั้งในรูปแบบของเอกสารทางประวัติศาสตร์และตำนาน
นิทานหรือนิยาย แท้จริงสิ่งใดเป็นความจริง
เรื่องราวใดเป็นความเท็จอยากยิ่งที่จะตัดสินให้แน่ชัดลงไปได้
ประวัติศาสตร์และตำนานของผู้คนที่มุ่งแสวงหาและปกปักรักษาอำนาจตนบนถนนการเมืองที่เกิดขึ้นบนสองฟากฝั่งของแม่น้ำทั้งสองสายนี้
มีผู้ใดสมควรนับเป็นผู้ดีงามและผู้ใดสมควรยึดเป็นผู้เลวร้าย?
ที่แท้ยุทธจักรนิยายที่เขียนถึงเรื่องราวของชีวิตและผู้คนบนถนนการเมืองสองฟากฝั่งหวงเหอและฉางเจียง
แม้บางครั้งมันอาจจะเป็นเพียงนิยายที่ประพันธ์ขึ้นจากจินตนาการของนักประพันธ์ผู้หนึ่ง
ซึ่งอาจเป็นเรื่องประโลมโลกที่มุ่งหวังสร้างความบันเทิงให้กับผู้คน
แต่โดยแก่นแท้ของมัน บางครั้งกลับซุกซ่อนความจริงอย่างใหญ่หลวง
กลับเผยธาตุแท้ของผู้คนอย่างล่อนจ้อนยิ่ง
การเขียนถึงเรื่องราวของชีวิตผู้คนบนถนนการเมืองที่ปรากฏในยุทธจักรนิยายของข้าพเจ้าในที่นี้จึงย่อมมิได้เน้นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
แต่ต้องการมุ่งเน้นแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้บางด้านของ “นักการเมือง”
ในยุทธภพที่นักประพันธ์บางท่านนำเสนอไว้ในรูปแบบของนิยายกำลังภายใน เพื่อให้เราท่านได้รู้จักกับผู้ที่เป็น
‘นักการเมือง’ ได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่า แท้ที่จริงแล้ว
นักการเมืองไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด หรือในประเทศใด ๆ
ล้วนมีธาตุแท้บางประการที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เนื่องเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของนักการเมืองเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน
คือ “อำนาจและผลประโยชน์”
อำนาจและผลประโยชน์คือสิ่งที่นักการเมืองมุ่งมาตรปรารถนา
มิว่าพวกเขาจะอ้างการกระทำของตนว่ากระทำเพื่ออะไรก็ตาม!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น