วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ยุทธจักรชิงบัลลังก์มังกร 4


3
ยุครณรัฐ-ยุคแห่งสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่
ซุนปินกับตำราพิชัยสงครามซุนหวู่-คัมภีร์มรณะ


ในตอนปลายยุคชุนชิว  แคว้นจิ้นแยกออกเป็นสามแคว้น คือ เว่ย เจ้าและหาน ในขณะที่แคว้นหวู่และแคว้นเยว่ตกอยู่ภายอำนาจของแคว้นฉู่  เป็นผลให้แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็น 7 แคว้นใหญ่ คือ เว่ย เจ้า หาน ฉิน ฉี ฉู่ และเอี้ย แต่ละแคว้นต่างก็พยายามที่จะขยายอำนาจของตนให้กว้างขวางออกและทำลายอิทธิพลของแคว้นอื่นๆ เพื่อผลคือความเป็นใหญ่เหนือแผ่นดินจงหยวน* ทั้งหมด  สงครามที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลากว่าสามร้อยปีในยุคจ้านกว๋อนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าในยุคชุนชิว  แต่ละแคว้นต่างก็พยายามคิดค้นหากลยุทธ์ในการสงครามมากวิธีขึ้น  เป็นที่น่าสังเกตว่าฝ่ายที่เป็นผู้ชนะในการสัประยุทธ์ในยุคนี้ก็คือฝ่ายที่สามารถเฟ้นหานักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญการพิชัยสงครามเหนือฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นพวก  ดังนั้นยุคนี้นั้นนอกจากจะเป็น“ยุครณรัฐ” แล้ว จึงยังเป็นยุคทองแห่งปรัชญาอีกด้วย
การณ์ที่เป็นเชนนี้ อาจกล่าวได้ว่านี่คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รูปแบบการผลิตได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบศักดินา  ซึ่งให้เอกชนเข้าไปมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมากขึ้น กับกลไกทางการเมืองและการแย่งชิงอำนาจเป็นใหญ่ระหว่างชนชั้นศักดินาของแต่ละแคว้น ที่พยายามพัฒนารูปแบบของการแย่งชิงอำนาจให้มีประสิทธิภาพในการเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามโดยเด็ดขาดให้ได้
สงครามในยุคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ  คือ
1.ระยะเวลาที่แคว้นเว่ยเป็นใหญ่กว่าแคว้นอื่น ๆ
2.ระยะของการแย่งชิงอำนาจระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นฉิน
3.ระยะของการแย่งชิงอำนาจระหว่างแคว้นเจ้ากับแคว้นฉิน
4.ยุคแห่งการสถาปนาจักรวรรดิฉิน
ในระยะแรกๆ ของยุคจ้านกว๋อนั้น  แคว้นเว่ยมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าแคว้นอื่นๆ ในขณะเดียวกันแคว้นฉินซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกยังคงเป็นม้านอกสายตาที่ไม่มีแคว้นใดคิคจะรุกรานเข้าไปครอบครองหรือให้ความสำคัญ ด้วยพากันเหยียดหยามว่าล้าหลังและเป็นดินแดนที่ทุรกันดาร ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเว่ยในช่วงแรกๆ ของยุคจ้านกว๋อล้วนเกิดจากการปฏิรูปกฎหมายและการปกครองของหลี่คุ่ย  ในรัชสมัยของเว่ยเหวินโหวแคว้นเว่ยมีความพยายามที่จะรวมแคว้นเจ้าและหานเข้าด้วยกันเพื่อสถาปนาแคว้นจิ้นขึ้นมาใหม่แต่ไม่สำเร็จ  การแตกคอของแคว้นทั้งสามนี้ในราวปี พ.ศ.174 ยังผลให้แคว้นฉีที่มีฉีหวนกงเป็นเจ้าสามารถสลัดหลุดจากแอกแห่งอำนาจของแคว้นเว่ยได้สำเร็จ  และสามารถที่จะพัฒนาแคว้นให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ  จนสามารถที่จะสั่นคลอนฐานะและอำนาจของแคว้นเว่ยได้  ในการศึกที่ช่องแคบดอยหม่าหลิงระหว่างเว่ยกับฉีนั้น  แคว้นฉีสามารถที่จะเอาชนะได้โดยฝีมือของเสนาธิการคนสำคัญนาม “ซุนปิน” ผู้เป็นทายาทของซุนหวู่  ซุนปินสามารถสร้างความพ่ายแพ้และความเจ็บปวดอย่างยับเยินให้กับแคว้นเว่ยที่นำโดยแม่ทัพ“ผังเจียน” คู่ปรับคนสำคัญของเขาในปี พ.ศ.201 หลังจากนั้นแคว้นฉีก็มีอำนาจแทนแคว้นเว่ย ฉีเวยหวางได้ดำรงตำแหน่งผู้นำแห่งหวางสืบแทนเว่ยหุ้ยหวาง

การยุทธ์ระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นฉีในยุคนี้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชุด “คัมภีร์มรณะ” ตัวเอกของภาพยนตร์ชุดนี้คือซุนปินกับผังเจวียน  ซึ่งในประวัติศาสตร์นั้น ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการยุทธ์ระหว่างทั้งสองแคว้น  โดยที่ซุนปินเป็นเสนาธิการของแคว้นฉี  ในขณะที่ผังเจวียนเป็นแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นเว่ย
ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์มีบันทึกถึงซุนปินไว้ค่อนข้างชัดว่า ซุนปินถือกําเนิดขึ้นมาดูโลกหลังจากที่ซุนหวู่ถึงแก่กรรมแล้วประมาณร้อยกว่าปี แต่ก็มิอาจยืนยันได้ว่าซุนหวู่ถึงแก่กรรมเมื่อใด ทราบเพียงว่าซุนหวู่เคยได้รับตำแหน่งแม่ทัพของแคว้นหวู่ ในระหว่างปี พ.ศ.31-61  ซึ่งตรงกับรัชสมัยของหวู่หวางเหอลู และหวู่หวางฟูไซ(ดังปรากฏในเรื่องไซซี) และเมื่อประมาณปี พ.ศ.61 ซุนหวู่มิอาจที่จะทนต่อความเหลวแหลกของราชสำนักหวู่ได้ จึงลาออกจากราชการไปแสวงหาความวิเวกตามปาเขาลำเนาไพร  เร้นหลบกายมิให้ใครพบเห็นอีก จากหลักฐานนี้จึงเชื่อได้ว่าซุนปินนั้นคงจะไม่ถือกำเนิดก่อนปี พ.ศ. 161 แน่นอน
ตามประวัติกล่าวว่า ซุนปินเป็นนักการทหารผู้มีอัจฉริยะเลิศล้ำผู้หนึ่งของจีน  ถือกำเนิดในดินแดนที่อยู่ระหว่างเมืองอาเฉินกับเมืองจ่วนเฉินในเขตมณฑลชานตุงปัจจุบัน เมื่อเยาว์วัยเคยได้ศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์หวางสี่พร้อมกับผังเจวียน  อาจารย์หวางสี่ที่ว่านี้ก็คือ “กุ่ยกู่จื่อ” ซึ่งมีที่พำนักพักพิงอยู่อย่างสันโดษในหุบเขาปีศาจหรือหุบผามรณะ ณ เมืองหยาง ดังนั้นผู้คนจึงเรียกกุ่ยกู่จื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “อาจารย์หุบเขาปีศาจ”
ถึงแม้ผังเจวียนจะได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการทหารและพิชัยสงครามจากสำนักเดียวกันกับซุนปิน แต่ด้วยเหตุที่เขามีสติปัญญาด้อยกว่า จึงมิอาจที่จะเข้าใจตำราพิชัยสงครามได้อย่างถ่องแท้เหมือนกับซุนปิน  อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับความรักจากอาจารย์น้อยกว่าซุนปิน ผู้ซึ่งอาจารย์ถือว่าเป็นทายาทของซุนหวู่ ซึ่งในภาพยนตร์ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า  กุ่ยกู่จื่อไม่ยอมสอนวิชาความรู้ให้ผังเจวียนโดยตรง  แต่ให้ลูกศิษย์ของตนเป็นผู้ถ่ายทอดให้อีกทอดหนึ่ง ในขณะที่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้กับซุนปินด้วยตนเอง  ดังนั้นความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ของผังเจวียนจึงมิอาจที่จะสู้ซุนปินได้้
หลังจากที่ได้ศึกษาตำราพิชัยสงครามในระดับหนึ่งแล้ว  ผังเจวียนก็เดินทางออกจากหุบผามรณะไปยังแคว้นเว่ย ซึ่งขณะนั้นเป็นรัชสมัยของเว่ยหุ้ยหวาง ได้เข้ารับราชการอยู่ในแคว้นเว่ยจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของเว่ยหุ้ยหวางเป็นอย่างมาก
ต่อมาฉินหัวหลีศิษย์ของม่อจื้อ ได้เดินทางไปถึงหุบผามรณะได้พบกับซุนปิน  จึงสอบถามเหตุผลที่ซุนปินไม่ลงเขาไปรับราชการ  ซุนปินจึงบอกถึงข้อตกลงระหว่างตนกับผังเจวียนว่า หากผังเจวียนประสบความสำเร็จในการรับราชการที่แคว้นเว่ยแล้ว ก็จะชักนำตนเข้าสู่วงราชการด้วย  ฉินหัวหลีจึงออกเดินทางไปยังแคว้นเว่ยและแจ้งเรื่องเกี่ยวกับซุนปินให้เว่ยหุ้ยหวางทราบ เว่ยหุ้ยหวางจึงให้ขุนนางถือหนังสือของผังเจวียนไปถึงซุนปินทันที  ซุนปินจึงออกเดินทางจากหุบเขาปีศาจไปยังแคว้นเว่ย
เกี่ยวกับการเดินทางไปรับราชการที่แคว้นเว่ยนี้   บ้างก็กล่าวว่าผังเจวียนเป็นผู้เสนอให้เว่ยหุ้ยหวางส่งคนไปเชิญตัวมาเอง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำตัวซุนปินมาควบคุมไว้ที่แคว้นเว่ย  มิให้ไปใช้ความรู้ความสามารถในแคว้นอื่น โดยเฉพาะก็คือแคว้นฉีซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญในขณะนั้น  ทั้งนี้เพราะแคว้นฉีคือบ้านเกิดของซุนปินเมื่อซุนปินเดินทางไปถึงแคว้นเว่ย  เขาได้แสดงให้เว่ยหุ้ยหวางเห็นถืงความรู้ความสามารถในด้านพิชัยสงครามอย่างมีเหตุมีผล เว่ยหุ้ยหวางพิจารณาเห็นถึงความสามารถ ก็คิดจะแต่งตั้งให้ซุนปินเป็นรองแม่ทัพบัญชาการทหารร่วมกับผังเจวียน แต่ผังเจวียนกลัวว่าซุนปินจะเป็นที่โปรดปรานเกินหน้าตน จึงอ้างเหตุว่าซุนปินนั้นเป็นศิษย์ผู้พี่จึงไม่สมควรที่จะรับตำแหน่งที่เป็นรองจากตน  พร้อมกันนั้นเขาก็ได้เสนอให้แต่งตั้งซุนปินเป็นขุนนางรับเชิญ ซึ่งไม่มีอำนาจทางการทหารแทน ซึ่งเว่ยหุ้ยหวางก็เห็นด้วย
ด้วยความหวาดระแวงว่า หากมีวันใดวันหนึ่งที่ซุนปินได้มีโอกาสได้แสดงความสามารถแล้วซุนปินก็จะกลายเป็นที่โปรดปรานของเว่ยหุ้ยหวางแทนตนไปทันที และอาจส่งผลให้ตนต้องหลุดจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดไป  ดังนั้นผังเจวียนจึงคิดหาวิธีการกำจัดซุนปินอยู่ตลอดเวลา  โดยพยายามที่จะใส่ความกล่าวหาซุนปินต่อเว่ยหุ้ยหวางอยู่เสมอว่าซุนปินนั้นเป็นชาวแคว้นฉี  จะอย่างไรก็คงมิอาจที่จะจงรักภักดีต่อแคว้นเว่ยอย่างจริงใจได้เลย จนในที่สุดเว่ยหุ้ยหวางหลงเชื่อและมีความหวาดระแวงในตัวของซุนปินมากขึ้นตามลำดับ  
เมื่อผังเจวียนเห็นเป็นไปตามแผน เขาจึงปลอมจดหมายขึ้นฉบับหนึ่งให้เป็นจดหมายที่ซุนปินเขียนถึงเจ้าผู้ครองแคว้นฉีแล้วนำไปแสดงต่อเว่ยหุ้ยหวาง ใส่ความว่าซุนปินลอบติดต่อกับแคว้นฉีจนเว่ยหุ้ยหวางหลงเชื่อ และจึงสั่งให้จับตัวซุนปินขังคุกไว้  ด้วยความอยากที่จะได้ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่จากซุนปิน ดังนั้น-ทางหนึ่งผังเจวียนก็แกล้งแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจจะช่วยเหลือมิให้ซุนปินต้องโทษประหารชีวิต  ทางหนึ่งก็ใช้อำนาจสั่งคว้านสะบ้าหัวเข่าทั้งสองข้างของซุนปิน พร้อมกับสักหน้าด้วยข้อความว่า “คบคิดต่างชาติ” เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ซุนปินหลบหนี  และเป็นการประจานมิให้สามารถพบหน้าค่าตาใครต่อใครอีกต่อไป
ผังเจวียนแสร้งปฏิบัติต่อซุนปินเป็นอย่างดี  จนซุนปินหลงเชื่อว่ามีความจริงใจต่อตนจึงยอมรับปากเขียนตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ให้เพื่อทดแทนบุญคุณ  แต่ด้วยคุณธรรมของคนใช้ชราที่รู้เรื่องดี คนใช้ชราผู้นั้นจึงบอกให้ซุนปินได้ทราบว่าหากเขาเขียนตำราพิชัยสงครามเสร็จลงวันใด  นั่นก็หมายความว่าวันตายจะมาถึง ซุนปินจึงแกล้งบ้าทุบข้าวของจนพังพินาศเผาตำราพิชัยสงครามที่เขียนจนเกือบเสร็จแล้วเสียสิ้น  ผังเจวียนจึงให้คนนำไปขังรวมไว้กับหมูและผ่อนคลายการควบคุมลง
ต่อมาฉินหัวหลีได้ร่วมคณะทูตแคว้นฉีเดินทางมายังแคว้นเว่ย ทราบข่าวว่าซุนปินถูกลงอาญาจึงไปเยี่ยมเยียนและลอบลักพาตัวหนีออกจากแคว้นเว่ยได้สำเร็จแล้วนำตัวไปยังแคว้นฉี  ซุนปินได้แสดงความรู้ความสามารถของตนจนเป็นที่ไว้เนี้อเชื่อใจของฉีเวยหวาง  และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาธิการทหาร

ในปี พ.ศ.189 ผังเจวียนยกทัพแคว้นเว่ยจำนวนแปดหมื่นคนไปตีแคว้นเจ้า แคว้นเจ้าส่งหนังสือขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี ฉีเวยหวางจึงแต่งตั้งเถียนจี้เป็นแม่ทัพแลให้ซุนปินเป็นเสนาธิการทหาร ยกกองทัพไปช่วยเหลือแคว้นเจ้า  ซุนปินได้ใช้ยุทธการ “ล้อมเว่ยช่วยเจ้า” จนผังเจวียนต้องล่าถอยจากแคว้นเจ้าที่กำลังจะยึดได้สำเร็จอยู่แล้วเพื่อกลับมาป้องกันแคว้นเว่ย นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของแคว้นฉีที่มีต่อแคว้นเว่ย  และเป็นชัยชนะครั้งแรกของซุนปินต่อผังเจวียน  เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ์ของคนทั้งสองที่เติบโตและศึกษาเรียนรู้วิชาการศึกมาจากสำนักเดียวกัน
สงครามขับเคี่ยวระหว่างฉีกับเว่ยหรือการต่อสู้กับในเชิงยุทธวธีระหว่างซุนปินกับผังเจวียนได้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปีที่ 10 ก็ถึงจุดจบของการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง  เมื่อผังเจวียนได้ยกกองทัพเว่ยไปตีแคว้นหาน แคว้นหานซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ไม่อาจต้านกำลังอันยิ่งใหญ่ของแคว้นเว่ยได้ จึงขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี  ซุนปินก็ได้ใช้กลยุทธ์เดิมจนผังเจวียนต้องยก  ทัพกลับจากแคว้นหาน เมื่อกองทัพแคว้นเว่ยเดินทางกลับ ซุนปินก็วางแผนให้กองทัพแคว้นฉีแสร้งถอยร่นแลวางกลลวงเอาไว้ ผังเจวียนชะล่าใจจึงได้ออกคำสั่งทหารให้ยกกำลังไล่โจมตี ซุนปินให้ทหารลดจำนวนซากเตาไฟให้น้อยลงเรื่อยๆ เพื่อลวงให้ผังเจวียนคิดว่าทหารแคว้นฉีหนีทัพกันมากและชะล่าใจตามไล่ล่าอย่างประมาท ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี  เพราะผังเจวียนสั่งทหารให้ยกทัพตามโดยไม่หยุดยั้งและเต็มไปด้วยความประมาท  จนกระทั่งถึงช่องแคบดอยหม่าหลิงในตอนค่ำวันหนึ่ง  ทหารกองหน้าของผังเจวียนเห็นต้นไม้ล้มขวางหน้าอยู่และที่ต้นไม้นั้นมีตัวอักษรสลักอยู่จึงรายงานต่อผังเจวียน
ขณะที่ผังเจวียนอ่านตัวอักษรบนต้นไม้นั้นซึ่งเขียนไว้ว่า “ผังเจวียนตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้” ยังมิทันที่จะระวังตัวก็ปรากฏห่าเกาทัณฑ์ของทหารแคว้นฉีแหวกอากาศมาอย่างรวคเร็วประดุจห่าฝน  เหล่าทหารเว่ยแตกตื่นโกลาหลถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย  ผังเจวียนเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกันเมื่อเห็นว่าหมดหนทางรอดแล้ว จึงชักกระบี่ออกเชือดคอตาย  ก่อนตายก็ได้กล่าวอย่างคับแค้นว่า“แค้นใจที่เราไม่ฆ่าซุนปินเสียแต่แรก วันนี้กลับเป็นผู้เสริมส่งชื่อเสียงของมันให้โด่งดังไปเสียอีก” ซึ่งในเวลาต่อมาคำกล่าวของผังเจวียนก็กลายเป็นความจริงและเป็นความจริงอยู่แม้กระทั่งปัจจุบัน
ยุทธการครั้งสำคัญในการปราบกองทัพเว่ยของซุนปินในครั้งนี้ เรียกว่า “ยุทธการช่องแคบหม่าหลิง” ซึ่งเป็นผลงานที่ส่งชื่อเสียงของซุนปินให้ขจรขจายไกลไปอย่างรวดเร็ว และเป็นยุทธการครั้งสำคัญที่ทำให้แคว้นฉีมีอำนาจเหนือแคว้นเว่ย ส่วนซุนปินนั้นหลังจากยุทธการครั้งนี้แล้วก็ลาออกจากราชการหลีกเร้นกายใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบในบ้านป่าจนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต


        *คำว่า “จงหยวน” หรือ “ตงง้วน” แปลว่าดินแดนตอนกลางหรือดินแดนอันเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมและความเจริญ  จักรพรรดิจีนแต่ละยุคจะกำหนดเอาภูเขาใหญ่เป็นเขตแดน ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ การกำหนดครั้งสุดท้ายทำในสมัยราชวงศ์ฮั่น  โดยกำหนดเอาภูเขาใหญ่ทั้งห้าเป็นเครื่องบอกเขตแดนจงหยวน  ดังนี้
1.ภูเขาซงซัว(ชงชาน) เป็นภูเขาใหญ่อันเป็นศูนย์กลางเป็นที่ตั้งของสำนักเสี้ยวลิ้มยี่
2.ภูเขาเฮ้งซัว(เหิงชาน) เป็นเขตแดนเหนืออยู่ในเขตมณฑลฮ้อปัก(เหอเป่ย) และ  มณฑลชัวไช(ซานซี)
3.เฮว้งชัว(เหิงชาน) เป็นเขตแดนใต้ อยู่ในมณฑลโอ้วหนำ (หูหนันหรือเหอหนาน)
4.ภูเขาไท้ซัว(ไท่ชาน)เป็นเขตแดนด้านตะวันออก อยู่ในเขตมณฑลซัวตัว(ชานตง)เป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชาแห่งขุนเขาทั้งปวง  เป็นสถานที่ประกอบพิธี   เช่นสรวงเทพยดาฟ้าดินของจักรพรรดิจีนมาแต่โบราณกาล
5..ภูเขาฮั้วซัว(หัวชาน)  อยู่ในมณฑลเซียมไซ(ซานซี)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยุทธจักรชิงบัลลังก์มังกร 6

5 ศึกชิงเจ้าปฐพีปลายยุครณรัฐ การสัประยุทธ์ระหว่างฉินกับเจ้า ฉีและเว่ย ในปลายยุคจ้านกว๋อ การรบสู้ระหว่างแคว้นต่างๆ ยิ่งเข้มข้นข...